เมื่อคนสองคนตกลงคบกันเป็นแฟน เรียนรู้กัน ศึกษานิสัยใจคอกัน จวบจนวันที่ตกลงจะใช้ชีวิตร่วมกัน ช่างดูเป็นอะไรที่น่าจะ “แฮปปี้ เอนดิ้ง” ใช่มั้ยล่ะค่ะ? แต่…ไม่เลย
“ชีวิตคู่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น”
เพราะยังมีอะไรอีกมากมายต่อจากนี้ให้เราได้เรียนรู้ และปรับเข้าหากันอีกเยอะเลยซึงบางคู่ก็ประคับประคองกันไปจนชีวิตลงตัว ไปรอด แต่ในขณะที่บางคู่ก็…ไปไม่รอด วันนี้เราจึงสรุปสาเหตุหลักๆ และทางออกมาให้ได้ดูกันค่ะ ลองเช็คลิสต์ตามนะคะ
สารบัญ
นิสัยที่รับไม่ได้
หลังจากที่คนสองคนตกลงปลงใจจะมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว แน่นอนค่ะ เช้าก็เจอหน้ากัน เที่ยงก็เจอหน้ากัน เย็นย่ำ ค่ำนอนก็เจอหน้ากันเราก็ต่างคนต่างเห็นพฤติกรรมหรือนิสัยกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งดีและไม่ดี ซึ่งแต่ละคนก็ไม่มีใครเพอร์เฟ็คแม้กระทั่งตัวคุณเอง ดังนั้น “การหลับตาข้างหนึ่ง” ,“การให้อภัยกัน” หรือ “การให้ความเข้าใจ” เป็นทางออกที่ดีที่สุดค่ะ
ไม่มีเวลาให้กันและกัน
บางคู่มีเวลาทำงานที่ไม่ตรงกัน หรือบางคู่อาจงานหนัก งานยุ่งจนไม่มีเวลาให้กัน หากเป็นแบบนี้นานๆ เข้า อาจทำให้ความสัมพันธ์เริ่มห่างได้นะคะ ทางที่ดีควรหาเวลาว่างให้ตรงกันบ้าง แล้วออกไปดินเนอร์ หรือดูหนังซักเรื่องก็น่าจะดีนะคะ
ครอบครัวอีกฝ่าย
เคยได้ยินคำนี้มั้ยคะ “ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน” ก็จริงนะคะ แต่อาจไม่จริงทั้งหมด เพราะทั้งสองคนต่างได้รับการเลี้ยงดูมาคนละแบบ มีพื้นฐานการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงมีโอกาสสูงที่ครอบครัวของเรา หรือครอบครัวของเขาจะเข้ามาก้าวก่าย ชี้นำ หรืออาจตัดสินใจแทนคุณทั้งสองได้ อาทิ เช่น การเลือกที่อยู่อาศัย เรื่องการเงิน การลงทุน การเลี้ยงดูลูก หรือบางทีอาจรวมไปถึงการวางแผนชีวิตให้ลูกคุณ หากเป็นเช่นนี้ แนะนำว่าให้คุณทั้งคู่แยกครอบครัวออกมาใช้ชีวิตอยู่กันเองตามประสาพ่อแม่ลูกดีกว่าค่ะ แล้วค่อยๆ วางแผนชีวิต บริหารกันเอง
เมื่อต้องรับทบเป็นคุณพ่อคุณแม่ของลูก
ด้วยความที่ทั้งสองคนได้รับการเลี้ยงดูมาที่แตกต่างกันดังนั้น ไม่แปลกที่จะมีพื้นฐานความคิดในการเลี้ยงลูกจะแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการอบรมสั่งสอน พื้นฐานความคิดในเรื่องต่างๆ และอีกมากมาย คุณทั้งคู่ควรหาเวลามานั่งคุยกัน แชร์ความคิด และหาจุดกึ่งกลาง พบกันครึ่งทางดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดนะคะ
เรื่องการเงิน
เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่อ่อนไหวเช่นกันบางบ้านสามีภรรยาทำงานทั้งคู่เงินเดือนต่างกันหรือมากน้อยไม่เท่ากัน มุมมองความคิดในการใช้เงินก็จะต่างกัน บางบ้านสามีทำงานเป็นเสาหลักคนเดียว ส่วนภรรยาต้องดูแลลูก ทำงานบ้านทุกอย่าง มุมมองก็ต่างกันอีก ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด จับเข่าคุยกัน สร้างกฎระเบียบในการใช้จ่ายเงินให้เข้าใจตรงกัน แล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
เซ็กซ์
บางคู่อาจไม่ชอบหรือรับไม่ได้กับรูปแบบการมีเซ็กซ์ของอีกฝ่าย หรือมีความต้องการที่ไม่ตรงกันในเรื่องของเวลา ทั้งคู่ควรให้เวลาซึ่งกันและกันมาคุยกันในเรื่องนี้นะคะ เพราะหากปล่อยไว้นานๆ อาจทำให้เป็นสาเหตุที่คู่ของคุณจะนอกใจได้
ความคาดหวังลึกๆ
ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นในความคิด บางคนอาจคิดว่า ก่อนแต่งเขาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ หลังแต่งต้องดีแน่นอน พอแต่งเข้าแล้วจริงๆ กลับพบว่าไม่เป็นเช่นนั้น หรือแม้แต่หวังเล็กๆ น้อยๆ อย่างหวังให้คู่ของคุณซื้อของมาเซอร์ไพรส์ในวันเกิดแล้วเขาไม่ได้ซื้อให้ ก็นั่งอารมณ์ขุ่นมัว พาลทะเลาะอีก หากเป็นเช่นนี้ ให้คุณลองค่อยๆ คิดว่าเขาก็ดีในแบบของเขาแล้ว ไม่มีใครเพอร์เฟ็ค ลดความหวังลง แล้วทำความเข้าใจในทุกสิ่งทีเขาเป็น คุณก็จะพบกับคำว่า “แฮปปี้” ตัวโตๆ แล้วล่ะค่ะ
ทำงานบ้าน
การเป็น “แม่บ้าน” หรือ “พ่อบ้าน” นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะคำว่า “ทำงานบ้าน” จะไม่มีวันหมดสิ้น ทำความสะอาดตรงนั้นก็เห็นตรงโน้น หมดตรงโน้นมาตรงนี้ ทังนี้หมายรวมถึงงานซักผ้า กวาดบ้าน ฯลฯซึ่งหากแต่ละคนตั้งแง่ว่างานนี้ผม/ฉัน ทำอยู่คนเดียว คุณไม่เคยทำเลย แบบนี้ก็ทะเลาะกันเท่านั้นเอง ลอง…ลองเปลี่ยนมาเป็นหันหน้าพูดคุยกันดีๆ สลับกันอาทิตย์กันทำ สลับอย่างกันไป น่าจะดีกว่านะคะ
9.สื่อสารน้อยเกินไป
จากทั้งหมดทั้งมวลที่ได้กล่าวมาปัญหาส่วนใหญ่เกิดจาก “การไม่หันหน้ามาพูดคุยกันให้เข้าใจ” จนสะสมเป็นปัญหาใหญ่ ทำให้ชีวิตคู่ไปไม่รอด การพูดคุยกัน ปรับความเข้า และพบกันครึ่งทาง ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางออกที่สำคัญของการใช้ชีวิตคู่นะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ? ถ้าเช็คลิสต์ของใครเกิน 3 ข้อ แนะนำว่าควรพูดคุยปรับความเข้าใจกันด่วนค่ะ แต่หากนัดวันจะคุยกันแล้ว เขาเกิดลืมเพราะทำงานเยอะจนยังหาเวลาไม่ได้ ก็ “ให้อภัย” เขานะคะเพราะทุกอย่างต้องใช้เวลาค่ะ