โควิด-19 ยังเป็นที่จับตามองของทุกคนทั่วทุกมุมโลก เพราะตราบใดที่สถานการณ์ยังไม่เงียบสงบ เราก็คงต้องรอลุ้นกันว่าเมื่อไหร่ไวรัสชนิดนี้จะหายไปจากพื้นที่ต่าง ๆ
และด้วยสถานการณ์นี้เองทำให้หลายคนได้รับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ นานาที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหาร หรือ อาหารเสริม ที่เชื่อกันจะสามารถมีส่วนในการช่วยป้องกันหรือสร้างภูมิต่านทานไวรัสประเภทนี้ได้
วิตามินซี เป็นชื่อหนึ่งของวิตามินที่เชื่อว่าเกือบจะทุกคนได้รับฟังหรือรับรู้มามากมายหลายทาง วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันนะคะว่าวิตามินซีนั้นจริง ๆ แล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรกันแน่นะคะ
วิตามินซี หรือมีชื่ออื่น ๆ ที่เรียกได้คือ กรดแอสคอร์บิก หรือ กรดแอล-แอสคอร์บิก (L-ascorbic acid) หรือ แอสคอร์เบต (Ascorbate) นั้น เป็นสารที่ละลายในน้ำได้ ตั้งแต่อดีตทางการแพทย์ได้ระบุไว้ว่าเป็นสารที่สามารถใช้ป้องกันและรักษาโรคลักกะปิดลักกะเปิด และเป็นสารที่มีความจำเป็นในการใช้เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย นอกจากนั้น ในปี พ.ศ.2559 มีการยืนยันว่าไม่ได้ใช้เพื่อรักษาโรคหวัด เพียงแต่หากมีการรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้หายจากหวัดได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ข้อมูลจากหลายแหล่งในขณะที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 นี้ ได้กล่าวกันว่าวิตามินซีจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ จนกระทั่งมีการเผยแพร่ออกมาในหลายแง่มุม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การรับประทานวิตามินซีไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดผลดี เพราะวิตามินซีย่อมมีประโยชน์ต่างร่างกาย แต่สิ่งที่ควรทราบก็คือ วิตามินซีไม่ได้ช่วยการติดเชื้อไวรัสโคโรนาแต่อย่างใด
สารบัญ
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วเรายังควรรับประทานอยู่หรือ ไม่ ?
คงเป็นคำถามจากหลาย ๆ คน
ตามข้อมูลการแพทย์จากโรงพยาบาลทุกแห่งระบุไว้ชัดเจนว่าวิตามินซีสามารถช่วยเป็นภูมิคุ้มกันต่อร่างกายได้ดีหากรับประทานเป็นประจำ แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรจะต้องพิจารณาในการเลือกรับประทานด้วย เพราะปริมาณการรับประทานวิตามินซีนั้นมีผลต่อร่างกายของความต้องการแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น คนที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคประจำตัวอะไร ก็สามารถรับประทานวิตามินซีได้ในปริมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่สำหรับคนที่อาจจะป่วยหรือมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับภูมิแพ้ควรรับประทานในปริมาณ 2000 มิลลิกรัมต่อวันถึงจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่ร่างกายสึกหรอได้ผลดี สำหรับผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคเบาหวานก็สามารถรับประทานวิตามินซีในปริมาณ 1000 มิลลิกรัมได้เช่นกันเพราะวิตามินซีสามารถเข้าไปลดการแทรกซ้อนของโรคในภาวะต่าง ๆ ได้
เราควรเลือกรับประทานวิตามินซีแบบไหน ?
วิตามินซีสามารถเลือกรับประทานได้ตามที่ทุกคนสะดวก บางคนอาจเลือกรับสารนี้จากธรรมชาติ คือมาจากผักผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้มีการระบุสัดส่วนไว้ในหลายประเภท ดังนี้
- พริกหวาน วิตามินซี 80.4 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- บรอกโคลี วิตามินซี 89.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- ผักคะน้า วิตามินซี 147 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- ผักปวยเล้ง วิตามินซี 120 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- ใบมะรุม วิตามินซี 141 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- ส้ม วิตามินซี 53.2 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- มะขามป้อม วิตามินซี 276 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- สตรอเบอร์รี่ วิตามินซี 58.8 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- ฝรั่ง วิตามินซี 160 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
- ลิ้นจี่ วิตามินซี 71.5 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
นอกจากนั้น เราสามารถเลือกหาซื้อวิตามินที่มีลักษณะสำเร็จในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่โรงพยาบาลกรุงเทพได้ให้ข้อมูลไว้ถึง 6 รูปแบบ ได้แก่
แบบอัดเม็ด
ที่มีขนาดตั้งแต่ 25-1,000 มิลลิกรัม
แบบเม็ดอม
มีตั้งแต่ 25-500 มิลลิกรัม
แบบเม็ดเครี้ยวได้
มีขนาด 30 มิลลิกรัม เหมาะสำหรับเด็ก ๆ
แบบเม็ดฟู่
มีขนาด 500 และ 1,000 มิลลิกรัม รับประทานโดยการละลายในน้ำ
แบบแคปซูล
มีขนาด 500 มิลลิกรัม และ
แบบสารละลายเพื่อฉีด
มีขนาด 500 มิลลิกรัม (ชนิดนี้ควรปรึกษาแพทย์)
วิตามินซีอาจจะไม่ได้ระบุในทางการแพทย์ว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาหรือที่เราเรียกกันว่า โควิด-19 ได้จริง ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่ร่ำลือกัน แต่การรับประทานวิตามินซีเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และถึงแม้เราจะไม่สามารถผลิตสารประเภทนี้เองได้ แต่ก็หารับประทานได้ไม่ยากนะคะ