Site icon คุณแม่ลูกอ่อน

ปลอดภัยไว้ก่อน…ให้ลูกนั่งคาร์ซีททุกครั้งเวลาเดินทาง

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในข่าวก็มีให้เห็นตลอดว่าผู้โชคร้ายมักเป็นทารกน้อยที่นั่งมาในรถยนต์ด้วย ถึงเราไม่ไปชนเขา แต่เขาก็อาจจะมาชนเราได้นะคะ เพราะฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาทจึงอยากแนะนำคุณแม่ให้หันมาใช้คาร์ซีทสำหรับลูกน้อยกันค่ะ

ก่อนอื่นอยากให้คุณแม่ทั้งหลายได้เห็นถึงความสำคัญของคาร์ซีทหรือเบาะนิรภัยสำหรับเด็กเล็กก่อนนะคะ จากรายงานของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้จัดอันดับอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินในเด็ก 10 อันดับ ในปี 2559 โดยเผยว่า มีเด็กอายุ 1-15 ปี เจ็บป่วยฉุกเฉินเกี่ยวกับกุมารเวชกรรมสูงเป็นอันดับ 1 ที่ 56,101 คน รองลงมาเป็นอุบัติเหตุยานยนต์ ซึ่งมียอดเด็กเสียชีวิตรวม 36,203 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย สาเหตุก็เป็นเพราะเด็กเล็กนั้นไม่สามารถนั่งในรถยนต์โดยคาดเข็มขัดนิรภัยแบบผู้ใหญ่ได้ ด้วยขนาดตัวที่เล็กไม่พอดี เมื่อเกิดอุบัติเหตุได้รับแรงกระแทกอาจมีการกระเด็นหลุดออกนอกตัวรถ ถึงแม้จะนั่งเบาะหลังได้ แต่เด็กเล็กแรกเกิดหรือเด็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุเป็นอันตรายต่อชีวิต บางครอบครัวเลือกที่จะอุ้มลูกไว้กับตัวเอง เป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าค่ะ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ลูกนี่กลายเป็นถุงลมนิรภัยรับการกระแทกแทนคนอุ้มไปเต็มๆ เลยค่ะ

ลองมาดูกันค่ะว่ามีคาร์ซีทแบบไหนบ้าง จะได้เลือกให้เหมาะสมกับลูกเราได้ค่ะ

คาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าเบาะหลัง

เหมาะสำหรับเด็กแรกจนถึง 2 ปี มีฐานด้านล่างเบาะสำหรับติดตั้ง โดยต้องหันหน้าเข้าหาเบาะหลังเท่านั้น มีที่จับคล้ายกระเช้าหิ้วด้านบน ไว้หิ้วออกจากฐานได้ เวลาลงจากรถคุณแม่ก็สามารถหิ้วไปทั้งกระเช้าได้เลยค่ะ บางยี่ห้อที่ราคาสูงหน่อย ตัวกระเช้าจะสามารถวางติดกับรถเข็นเด็กได้เลย ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะตื่นเมื่อจะทำการย้ายลูกจากรถยนต์มายังรถเข็น

คาร์ซีทแบบหันหน้าไปด้านหน้ารถ

เหมาะสำหรับเด็กเล็ก 2-5 ปี โดยติดตั้งกับเบาะหลังแต่หันตัวคาร์ซีทออกไปด้านหน้ารถยนต์

คาร์ซีทแบบที่นั่งเสริม

สำหรับเด็กน้ำหนัก 15-18 กิโลกรัม จะเป็นแบบที่มีพนักพิง บางยี่ห้อก็มีที่กั้นด้านหน้ามาให้ด้วย และสำหรับเด็กน้ำหนัก 20-25 กิโลกรัม ที่สามารถนั่งตัวตรงได้แล้ว ก็จะเป็นแบบไม่มีพนักพิง

Tips ในการเลือกซื้อคาร์ซีท

มาตรฐานความปลอดภัย

เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐกำหนดมาตรฐานของคาร์ซีทซึ่งถูกผลิตในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น ผู้ใช้ควรเลือกคาร์ซีทที่ผ่านมาตรฐานจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

เข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัยของคาร์ซีทควรผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และควรเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบ 5 จุด เพราะจะปลอดภัยกว่าแบบ 3 จุด และอย่าลืมดูยี่ห้อที่สามารถติดง่ายถอดง่ายด้วยค่ะ เพื่อความรวดเร็วลูกจะได้ไม่งอแงค่ะ

ความนุ่มของเบาะ

หากเบาะนุ่มจะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายเมื่อได้นั่ง ทำให้ไม่ต่อต้านการนั่งคาร์ซีท และสามารถที่จะได้บ่อยหรือนั่งนานๆ ก็ได้ค่ะ แถมยังช่วยลดความซนลูกขณะอยู่บนรถได้ด้วยค่ะ อย่าลืมดูผ้าเบาะด้วยนะคะ มีทั้งแบบผ้าและแบบหนัง เบาะผ้าจะให้ความเย็น แต่ต้องหมั่นนำออกมาซักทำความสะอาด ส่วนเบาะหนังสามารถทำความสะอาดได้ง่าย

น้ำหนักของคาร์ซีท

เมื่อคุณแม่ต้องขับรถไปไหนมาไหนกับเจ้าตัวเล็กแค่ 2 คน ควรเลือกคาร์ซีทที่มีน้ำหนักเหมาะสมที่คุณแม่จะยกขึ้นลงรถได้สะดวก

ราคา

ใช่ว่าคาร์ซีทราคาแพงจะดีเสมอไป ต้องดูความคุ้มค่าด้วย ว่าเป็นเบาะแบบหันได้ทั้งหน้าและหลังหรือไม่ จะได้ใช้ให้คุ้ม หรือเบาะที่หันได้รอบด้าน หันหาคุณแม่ หันมาป้อนข้าว ราคาก็จะถึงหลักหมื่น แต่ให้เลือกพื้นฐานที่ความปลอดภัยก็ได้ค่ะ ถ้าไม่ได้เดินทางจริงจังมาก

ถึงเวลาฝึกให้เจ้าตัวเล็กนั่งคาร์ซีทกันแล้วค่ะ วันนี้มีวิธีง่ายๆ มาฝากคุณแม่กันด้วยนะคะ

  1. จัดการธุระส่วนตัวลูกให้เรียบร้อยก่อนขึ้นนั่งคาร์ซีท ไม่ว่าจะทานให้อิ่มท้องก่อน เปลี่ยนผ้าอ้อม ลูกจะได้ไม่งอแงตอนขึ้นรถค่ะ
  2. คุณแม่ต้องใจแข็งไว้นะคะ ถ้าเห็นลูกร้องเพราะไม่ชอบไม่ชิน เราต้องฝึกจนกว่าลูกจะชิน เพราะธรรมดาของเด็กแล้วไม่ชอบที่จะโดนรัดไว้กับที่ ถึงได้บอกไงละคะ ว่าถ้าให้นั่งกันตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล โตขึ้นมาก็จะไม่เป็นปัญหาในการนั่งคาร์ซีทเลย
  3. ทำความเข้าใจกับคนในครอบครัวที่อคติกับการนั่งคาร์ซีท ผู้ใหญ่บางคนในครอบครัวอยากจะให้ลูกหลานได้นั่งตัก หรืออุ้มไว้ในอ้อมกอดมากกว่า แต่คุณแม่ต้องย้ำถึงความสำคัญของคาร์ซีทไว้นะคะ คิดถึงความปลอดภัยลูกมาเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเด็กเริ่มโตและไม่อยากนั่ง และมีคนเข้าข้างว่าไม่ต้องนั่งก็ได้ การจับนั่งคาร์ซีทก็จะไม่สำเร็จค่ะ
  4. อย่าลืมของเล่นชิ้นเล็กๆ ติดไว้ให้ลูกแก้เซ็งค่ะ อาจเป็นของเล่นชิ้นโปรดของลูก เพื่อที่เค้าจะได้นั่งคาร์ซีทได้ไม่รบกวนใครค่ะ