Site icon คุณแม่ลูกอ่อน

ทำอย่างไรให้ลูกเชื่อฟัง อะไรบ้างที่พ่อแม่ไม่ควรบังคับ

ทำอย่างไรให้ลูกเชื่อฟัง อะไรบ้างที่พ่อแม่ไม่ควรบังคับ

คงไม่มีใครปฏิเสธนะคะว่า “ความรักของพ่อแม่” นั้นบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่มากจริง ๆ ความรักของพ่อแม่นั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มันคงอธิบายไม่ได้ง่ายเหมือนสารประกอบไฮโดรคาร์บอน รู้แค่ว่า ความรักของพ่อแม่ มีแต่ “ความหวังดี” เป็นส่วนประกอบ ซึ่งเจ้าความหวังดีนี้เอง ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด ใช้ไปในทางที่บังคับลูกให้ทำโน่น ทำนี่ เมื่อเค้ายังไม่พร้อม ลูกอาจทำตามที่พ่อแม่บังคับจริง แต่ลูกอาจดื้อเงียบและไม่เชื่อฟัง แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกเชื่อฟัง ต้องเริ่มจากสิ่งนี้ค่ะ

ทำอย่างไรให้ลูกเชื่อฟัง

ต้องบอกก่อนค่ะว่า การเลี้ยงลูกให้เติบโตที่มีความแข็งแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจนั้น พ่อแม่ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกและพฤติกรรมลูกในแต่ละช่วงวัยด้วย แน่นอนอาจจะไม่ได้เหมือนกันเป๊ะกับทฤษฎีทุกคน เพียงแค่อ่านแล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับลูก
การบังคับขู่เข็ญ” ในเวลาที่ลูกไม่พร้อมจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

อย่าบังคับให้ลูกพูดคำว่า “ขอโทษ”

เพราะความที่ลูกยังเด็ก เค้าอาจจะทำอะไรไปโดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด หรือหากรู้แล้วแต่ก็ยังทำ พ่อแม่ก็อย่าเพิ่งบังคับให้ลูกต้องพูดขอโทษในทันทีหากขณะนั้นลูกยังไม่พร้อม ถึงแม้ว่าลูกยังเล็กแต่เค้าก็อายเป็น
หากพ่อแม่ดูแล้วลูกยังไม่พร้อม รอให้ลูกอารมณ์เย็นก่อน แล้วค่อยพูดคุยกับเค้าด้วยเหตุผลว่าอะไรถูก อะไรผิด อธิบายให้เค้าได้เข้าใจ แบบนี้จะทำให้ลูกเอ่ยปากขอโทษด้วยความเข้าใจนะคะ

อย่าบังคับให้ลูกไหว้

เรื่องของการไหว้ การทำความเคารพผู้ใหญ่ เป็นสิ่งสำคัญละดับต้นๆ ที่หลายครอบครัวใส่ใจและคอยที่จะอบรมลูกให้อยู่ในกรอบ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ต้องให้ไหว้ใครซึ่งเค้าไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ก็ไม่ไหว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเด็กค่ะ
ซึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ ถึงแม้จะเป็นธรรมชาติของเด็ก แต่เด็กก็ยังจำเป็นต้องได้รับการอบรมอยู่ตลอด และพ่อแม่ควรทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง เด็กๆ จะซึมซับพฤติกรรมจากพ่อแม่ และเมื่อเค้าพร้อมเค้าจะทำตามได้โดยไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ

อย่าบังคับให้ลูกกิน

เด็กกินยาก” อีกหนึ่งปัญหาคลาสสิกที่หลายครอบครัวต้องเจอและด้วยความที่พ่อแม่หวังดี รักลูก อยากให้ลูกทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็สรรหาเมนูใหม่ๆ มาให้กิน แต่ลูกดันผลักจานออก ซึ่งผู้เขียนมี 2 วิธีแนะนำ (จริงๆ มีเยอะกว่านี้) คือ

  • ซ่อนผัก คือ หาเมนูที่มีส่วนผสมจากผัก แล้วอาจจะใช้วิธีหั่นเป็นชิ้นเล็กผสมลงไป เพื่อให้ลูกมองไม่เห็น
  • ชวนลูกเข้าครัวให้ลูกช่วยเตรียมผัก แบบง่ายๆ แล้วนำไปปรุงอาหาร เมื่อถึงเวลาอาหาร ชวนลูกชิมฝีมือตัวเอง ลูกจะตื่นเต้นกับสิ่งที่เค้าได้ช่วยแม่ค่ะ

อย่าบังคับให้อ่านหนังสือ

การรักการอ่าน” เป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายคนใฝ่ฝัน อยากให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน แต่การบังคับในวันที่เค้ายังไม่พร้อม อาจยิ่งทำให้เค้าไม่อยากจับหนังสืออีกเลยก็เป็นได้ ดังนั้น ลองเปลี่ยนมาเป็นให้พ่อแม่อ่านให้ฟัง แล้วพากย์เป็นเสียงตัวละครต่างๆ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าตื่นเต้นได้ หรือสมัยนี้มี Talking Pen (แต่ก็ค่อนข้างแพงอยู่) ซึ่งจะมีเสียงเอฟเฟ็คต่างๆ ก็จะทำให้ลูกอยากอ่านหนังสือมากขึ้น

อย่าบังคับให้ลูกเรียนพิเศษในสิ่งที่เค้าไม่ชอบ

แน่นอน การได้ทำในสิ่งที่รักย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า รวมไปถึงลูกก็จะมีความสุข แต่หากพ่อแม่บังคับหรือเคี่ยวเข็ญให้ลูกต้องเรียนพิเศษในสิ่งที่เค้าไม่ชอบ เค้าจะยิ่งฝังใจและไม่ชอบวิชานั้นๆ ไปเลยก็ได้

อย่าบังคับให้ลูกต้องแบ่งปันทุกอย่าง

ถูกค่ะ “การแบ่งปัน” เป็นสิ่งที่ดี แต่…ลูกมีสิทธิที่จะไม่แบ่งปันในสิ่งที่เป็นของรักของหวงของเค้า หากพ่อแม่บังคับให้ลูกต้องแบ่งปันในทุกเรื่อง โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของลูก อาจทำให้ลูกเกลียดการแบ่งปันในที่สุด

อย่าบังคับให้เลิกเล่นเกม หรืออินเตอร์เน็ต

เด็กที่เกิดในยุคนี้ ซึ่งเป็น “ยุคดิจิทัล” เป็นยุคของเค้า หากพ่อแม่ต้องห้ามเค้าทำโน่น นี่ นั่น ในทุกเรื่อง อาจส่งผลเสียต่อลูก ทำให้ลูกไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ในเรื่องของเกมหรืออินเตอร์เน็ตก็เช่นกัน หากเมื่อถึงเวลาเล่นก็ควรให้เค้าได้เล่น ได้เรียนรู้ แต่สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก็คือ การตกลงกันก่อนดู เช่น ดูได้กี่ชั่วโมง เมื่อถึงเวลาเลิกก็ต้องเลิก เป็นต้นกลับกันหากเด็กแอบไปเล่นลับหลังพ่อแม่ อย่างนี้จะดูแลยากค่ะ

อย่าบังคับให้ลูกนอน

ข้อนี้ก็เหมือนผู้ใหญ่แหละค่ะ ถ้าเราไม่ง่วงก็คงนอนไม่หลับ ดังนั้น การตั้งเวลาเข้านอน เช่น 20:30 น. ก็เป็นเพียงแนวทางให้ลูกรู้ว่าได้เวลานอน แต่คงไม่ใช่หัวถึงหมอนแล้วหลับปุ๋ยเหมือนเครื่องชัทดาวน์อะไรอย่างนั้น กว่าเค้าจะนอนคุยเล่นกับพ่อแม่ กว่าเค้าจะกลิ้งซ้ายกลิ้งขวา ก็ปล่อยเค้าเถอะคะ ไม่ต้องบังคับ ถ้าง่วงมากๆ เดี๋ยวเค้าก็หลับได้เอง

อย่าบังคับให้ต้องทำโน่นทำนี่ โดยที่ลูกไม่เคยเห็นต้นแบบที่ดี

เรื่องของการสอนลูกเป็นเรื่องดีค่ะ แต่การสอนอย่างเดียว พูดอย่างเดียวว่าให้ทำโน่นทำนี่ ไม่ทำโน่น ไม่ทำนี่ ลูกอาจจะคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ด้วยพื้นฐานพัฒนาการของเด็กวัย 3 – 6 ขวบ เป็นวัยที่มักจะจดจำสิ่งต่าง ๆ รอบตัว รวมถึงชอบที่จะเลียนแบบพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้วค่ะ มันจะง่ายกว่ามากหากคุณพ่อคุณแม่จะเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูก ซึ่งลูกจะทำตามได้อย่างง่ายดายเลยค่ะ

อย่าบังคับให้ลูกต้องทำตามอย่างเดียว

ไม่ทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ แบบนั้นไม่ดี เอาแบบนี้ดีกว่า บลา บลา บลา…” การบังคับให้ลูกทำตามอย่างเดียว โดยที่ไม่เคยถามความคิดเห็นเลยสักครั้ง คุณพ่อคุณแม่เข้าใจไปเองว่าสิ่งที่เลือกให้กับลูกนั้นดีที่สุด แต่ไม่เคยพิจารณาเลยว่าสิ่งที่ดีที่สุดนั้นจะ “เหมาะกับลูก” หรือเปล่า เหล่านี้จะทำให้เด็กเกิดความเก็บกดสะสมได้ คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเตรียมรับมือกับปัญหาของลูกในวัยรุ่นกันต่อไป

อย่าบังคับให้ลูกต้องเชื่อฟังทั้ง ๆ ที่ไม่เคยหาสาเหตุที่แท้จริง

คุณพ่อคุณแม่รับรู้อย่างเดียวว่าสอนอะไรลูกไป ลูกไม่เคยเชื่อฟังเลย แต่ไม่เคยนั่งลงและคิดหาสาเหตุอย่างจริงจังว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้ลูกไม่เชื่อฟังเรา

ลูกของเรา” จริงอยู่ลูกเป็นของเรา แต่ชีวิตเป็นของเขาค่ะ ลูกมีสิทธิที่จะคิดต่างได้ คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่สนับสนุนในทุกด้านที่เป็นเรื่องดี ทำความเข้าใจในตัวลูก หาสาเหตุที่แท้จริงแล้วแก้ให้ตรงจุด ความสุขภายในครอบครัวก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณพ่อคุณแม่เป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกได้แล้ว การวางรากฐานในขั้นต่อไป “วิธีเลี้ยงลูกให้มีเหตุผล” ก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ


อยากให้ลูกเป็นเด็กมีเหตุผลต้องทำอย่างไร? บทความที่แชร์วิธีการเลี้ยงลูกให้มีเหตุผล พ่อแม่ทำได้ง่าย ๆ คลิกที่นี่