คงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่อยากให้ลูกเป็นเด็กไม่ดี แต่การที่จะปลูกฝังให้ลูกเป็นเด็กดีนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งวันนี้โน้ตมีแนวทางในการปลูกฝังลูกมาฝากค่ะ
สารบัญ
สอนลูกอย่างไรให้เป็นคนดีและมีความสุข
เริ่มจากตัวพ่อแม่ก่อน
ทุกเรื่องที่จะสอนลูกต้องเริ่มจากข้อนี้ก่อนค่ะ คุณพ่อคุณแม่บางคนคิดว่า ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน ดังนั้น ลูกคนเดียวที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติ ซึ่งความจริงแล้วการที่เรามีลูก เราก็ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของตัวเองไปด้วย และในบางครั้งผู้ใหญ่อย่างเราก็สามารถทำผิดและสามารถขอโทษลูกได้เช่นกันค่ะ
คุณพ่อคุณแม่มีความสำคัญถึงขั้นที่ว่า “สามารถตีกรอบความคิดให้ลูก” ได้เลยทีเดียว เมื่อลูกมีคกรอบความคิดของคุณแม่เข้าไปอยู่ในหัว ในบางเรื่องมันอาจเป็นตัวปิดกั้นความสุขและความสำเร็จของลูกได้เลยทีเดียวนะคะ
ตัวอย่างเช่น คุณแม่มักจะพูดเสมอว่า ถ้าออกจากงานประจำแล้วมาทำธุรกิจเองตอนนี้นะ น่าจะเจ๊ง เพราะเศรษฐกิจมันแย่ แต่ความต้องการของลูกอยากเป็นเจ้าของกิจการเอง และมองเห็นช่องทางการสร้างรายได้ที่น่าจะไปได้ดี แต่กลายเป็นลูกจะไม่กล้า สุดท้ายต้องเป็นพนักงานบริษัทตลอดไป ไม่ได้ลิ้มรสความสำเร็จ และไม่รู้จักว่า “ความภาคภูมใจในตัวเอง” คืออะไร และที่สำคัญ หากวันหนึ่งบริษัทนั้น ๆ ประกาศเลิกจ้าง ก็จะไม่มีรายได้ทางอื่นเลย เป็นต้น
เคารพในความคิดของลูก
การเคารพในความคิดลูก ไม่ใช่แค่ในสิ่งที่ลูกนำมาเล่าให้ฟัง แต่หมายรวมถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ขอข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะ ซึ่งแม้บางครั้งอาจดูเป็นความคิดเด็ก ๆ แต่ก็เป็นความคิดตามประสบการณ์เท่าที่เขามี คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเคารพในความคิดของลูกเช่นกัน อาจตอบลูกกลับไปประมาณนี้ค่ะ “อื้มม…เป็นความคิดที่ดีนะ คราวหน้าพ่อต้องลองเอาวิธีของหนูไปลองดูบ้างแล้ว” เป็นต้นค่ะ เมื่อลูกได้เรียนรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่เคารพในความคิดเขา เมื่อโตขึ้นเขาก็จะส่งต่อแนวทางปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นกัน
อย่าเพิ่งฟันธงว่าลูกผิด
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องหรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็ตาม อย่าเพิ่งฟันธงว่าลูกผิด หรือมองว่าเพราะลูกนั่นแหละที่สร้างปัญหา แต่ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ให้คุณพ่อคุณแม่สอบถามลูกด้วยท่าทีที่สงบ และที่สำคัญ ควรรอให้ลูกได้อธิบายจบเสียก่อน หรืออย่าเพิ่งไปฟันธงว่า ลูกไม่อยากไปโรงเรียน แปลว่า ลูกเป็นเด็กขี้เกียจ แต่ควรค่อย ๆ คุยกับลูกอย่างมีเหตุมีผล และควรรับฟังลูกด้วยหัวใจที่เปิดกว้างนะคะ
เข้าใจในความแตกต่างของยุคสมัย
เรื่องของ “ยุคสมัย” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาคลาสสิก ซึ่งวิธีการเลี้ยงลูกในสมัยรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย เป็นอีกสไตล์ รุ่นพ่อรุ่นแม่เราก็เป็นอีกสไตล์ มารุ่นของเราก็เป็นอีกสไตล์ แต่จุดประสงค์คือ ต้องการให้ลูกเป็นคนดีหมือนกัน ซึ่งเรื่องความแตกต่างของยุคสมัยต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องทำความเข้าใจกับคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ซึ่งอาจใช้วิธีการเลี้ยงแบบผสมผสานควบคู่กันไปก็น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมค่ะ
ปรับเปลี่ยนทัศนคติลูกอย่างละมุนละม่อม
เช่น ลูกอาจบ่นหรืออาจมีทีท่าว่าไม่อยากไปโรงเรียน
“หนูไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเรียนหนังสือ”
“แม่เคารพในการตัดสินใจของหนูนะลูก ถ้าหนูไม่อยากมีการมีงานทำ ไม่อยากมีเงินซื้อชุดสวย ๆ ใส่”
สอนลูกให้เห็นความสำคัญของครอบครัว
“ครอบครัว” แม้เป็นสถาบันทางสังคมที่เล็กที่สุด แต่ก็เป็นสถาบันที่มีความสำคัญมากที่สุดที่เช่นกัน เพราะหากในครอบครัวมีความรักและความผูกพันที่เหนียวแน่นมากพอ ลูก ๆ ก็จะรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะเจอกับปัญหาอะไรก็ตามการหันหน้าเข้าหาครอบครัวเป็นอะไรที่อุ่นใจมากที่สุด ลูกจะกล้าพูดคุยกับคนในครอบครัว จะกล้าปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
รู้จักความยืดหยุ่น
บางครอบครัวเมื่อลูกมีปัญหาหรือทำผิดเรื่องใดมา ก็จะมีวิธีสื่อสารกับลูกเพียงแค่หนึ่งวิธีเท่านั้น นั่นคือ การทำโทษ หรือ การดุด่าว่ากล่าว ซึ่งความจริงแล้ว การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี คุณพ่อคุณแม่ควรใช้วิธีที่ยืดหยุ่นได้ คือ การรู้ว่าเรื่องใด หรือเวลาใดที่ควรใช้วิธีการละมุนละม่อม หรือเวลาใดควรใช้เสียงแข็ง หรือพฤติกรรมที่เคร่งขรึม เป็นต้น
สนับสนุนลูกให้ทำตามความฝัน
“อย่ากลัวที่ฝัน และอย่ากลัวที่จะกล้าทำตามความฝัน” ประโยคนี้ควรเป็นประโยคที่คุณพ่อคุณแม่ควรพูด ควรบอกกับลูกค่ะ หลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ ที่จะคอยสนับสนุนและหาทางให้ลูกได้เรียนรู้ และทำตามความฝัน
เพราะเด็กเขายังเล็กเกินไปที่จะรู้ว่าอาชีพนั้น ๆ ต้องเรียนรู้เรื่องใดบ้าง จุดนี้เองคุณพ่อคุณแม่สามารถหาคอร์สเรียนมาให้ลูกได้ หรือถ้ากลัวว่าลูกเหนื่อยเกินไป ให้คุณพ่อคุณแม่เป็นผู้เริ่มสอนก่อนก็ได้ค่ะ ซึ่งผลลัพธ์ก็มีอยู่ 2 ทาง คือ ถ้าเรียนแล้วชอบก็ไปต่อ หรือถ้าเรียนแล้วไม่อยากทำอาชีพนั้น ๆ แล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ช่วยให้ลูกค้นพบตัวตนได้เร็วขึ้น
ความต้องการอยากเห็นลูกเป็นคนดี เริ่มได้จากตัวคุณพ่อคุณแม่เองก่อนค่ะ เพราะการเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกเห็น ลูกจะมีภาพนั้น ๆ ในหัว ลูกจะเกิดการเลียนแบบ เลียนแบบชนิดที่ว่า ยกให้คุณพ่อคุณแม่เป็นฮีโร่ เป็นไอดอลในใจได้เลยทีเดียว หลังจากนั้น การพูด การสอนก็จะเป็นเรื่องง่ายแล้วล่ะค่ะ