คุณแม่มือใหม่กำลังดีใจที่กำลังมีลูกตัวน้อยอยู่ในครรภ์ ทั้งที่เฝ้ารอจะได้เห็นลูกที่แข็งแรง แต่ก็พบว่า ตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือท้องนอกมดลูก คำถามมากมายเกิดขึ้นไปหมด ท้องนอกมดลูกเกิดจากอะไร คุณแม่จะได้รับผลกระทบอะไรกับการท้องนอกมดลูก ซึ่งในบางครั้งคุณแม่อาจจะทราบ หรือไม่ทราบเกี่ยวกับปัญหาการตั้งครรภ์นอกมดลูก แล้วคุณแม่ควรจะมีวิธีรับมือกับเหตุการณ์นี้อย่างไร
การตั้งครรภ์นอกมดลูก คือการที่ไข่ไม่ได้ฝังตัวบริเวณมดลูก ส่วนใหญ่จะเกิดที่ท่อนำไข่ ซึ่งเป็นท่อที่เล็กเพื่อไข่ที่ผสมแล้วจะเดินทางไปยังมดลูก แต่เพราะการเดินทางเร็วไป หรือสุขภาพ จึงไม่สามารถไปยังที่เหมาะสมอย่างมดลูก เมื่อตัวอ่อนเติบโตขึ้น อาจจะทำให้ท่อนำไข่ขยายจนแตกออกได้ และด้วยการตั้งครรภ์นอกมดลูกจะไม่สามารถอยู่ครบกำหนด จึงต้องนำตัวอ่อนออก เพื่อรักษาตัวคุณแม่ไว้ มิเช่นนั้นจะตกเลือดภายในได้
อะไรคือสาเหตุ ที่ทำให้ท้องนอกมดลูก
ทำถามที่น่าสงสัยลับดับแรก หลังทราบจากสูตินารีแพทย์ ถ้าเช่นนั้นลองทบทวนดูว่าคุณแม่เคยมีอาการ หรือเคยทำกิจกรรมอะไรมาก่อนไหม
- เคยมีอาการติดเชื้อ ที่ท่อนำไข่และอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีโอกาสที่ท่อนำไข่อุดตันได้
- เคยสูบบุหรี่ คนที่สูบนั้นมีโอกาสท้องนอกมดลูกมากกว่าคนปกติกว่า 5 เท่า
- ทานยา เช่น ยากระตุ้นการตกไข่ หรือการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
- เคยผ่าตัดท่อนำไข่ เพื่อแก้ไขการอุดตันของท่อนำไข่ ในการช่วยให้มีลูก หรือการผ่าตัดทำหมัน และบังเอิญต่อติดเช่นเดิมตามธรรมชาติ
- ผลกระทบจากแผลเป็นการผ่าตัด หรือเคยเกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกราน ทำให้ตัวอ่อนเดินทางไม่สะดวก
- เคยมีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน
- เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- การรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว
ลักษณะอาการ
อาการของคนท้องอาจเริ่มตั้งแต่ประจำเดือนยังไม่ขาด หรือขาดแล้ว ซึ่งจะมีอาการ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก หรือมักจะมีเลือดออกจากช่องคลอด เป็นสีน้ำตาลคล้ำคล้ายช็อกโกแลตเหลวไม่มาก โดยเข้าใจผิดว่าเป็นประจำเดือน ด้วยอาการนี้ทำให้ไม่คาดคิดว่าตั้งครรภ์นอกมดลูก แต่หากปล่อยทิ้งไว้นาน จนตัวอ่อนเติบโตเกินกว่าบริเวณที่เกาะติดนั้นแตกออก โดยไม่มีการพบแพทย์ จะมีอาการดังนี้
- ปวดท้องน้อยหนักมาก
- ปวดร้าวตามร่างกายขึ้นที่ไหล่และหลัง ปวดอุ้งเชิงกราน
- หน้ามืด หรือเป็นลม จากการเสียเลือด
- หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ ความดันต่ำ และอาจช็อก อาการเหล่าเป็นภาวะฉุกเฉิน ถึงขั้นเสียชีวิต จึงควรนำส่งโรงพยาบาลอย่างด่วน
ฉะนั้นคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูง ควรรีบไปพบแพทย์ เมื่อรู้ว่าเริ่มตั้งครรภ์ หรือตรวจพบว่าท้อง 7 – 8 วัน คือ หลังจากไข่ผสมกับอสุจิเป็นเวลาที่ตัวอ่อนเริ่มฝังตัว ถึงอย่างนั้นการพบแพทย์ได้ไว แต่ตัวอ่อนก็ไม่สามารถจะเจริญเติบโตต่อได้ หากแต่ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนที่ท่อนำไข่จะแตกได้ ทั้งยังสามารถรักษาโดยพยายามเก็บท่อนำไข่หรือรังไข่ไว้เพื่อการตั้งท้องในครั้งใหม่ได้
การตรวจและรักษา
- การตรวจภายนอก เช่น ตรวจหน้าท้อง อาจพบว่ามีท้องโป่ง กดและปล่อยเจ็บ ตรวจร่างกายในสภาพที่ส่วนเกาะติดของไข่แตก โดยการเสียเลือด ซีด หรือช็อก
- การตรวจภายใน เช่น พบเลือดสีคล้ำในช่องคลอด โยกปากมดลูกจะรู้สึกเจ็บ อาจคลำพบก้อนผิดปกติที่ปีกมดลูกด้านใดด้านหนึ่ง
- รักษาโดยการใช้ยา การรักษาโดยการทำให้ไข่ฝ่อ และยังพอช่วยในการตั้งครรภ์ครั้งหน้าได้
- รักษาโดยการผ่าตัด วิธีนี้สำหรับครรภ์นอกมดลูกที่มีขนาดใหญ่ จึงใช้วิธีผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความเสียหายที่ไข่ไปเกาะ หรือการแตกของท่อนำไข่ ถ้าเสียหายมากก็ต้องตัดท่อนำไข่ออกไปพร้อมตัวอ่อน หากท่อนำไข่ยังดีอยู่ ก็สามารถนำตัวอ่อนออกมา และเก็บท่อนำไข่ไว้เพื่อการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้
การป้องกันการตั้งครรภ์นอกมดลูก
การท้องนอกมดลูกเป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจสร้างความเสียหายต่ออวัยวะในช่องท้อง และระบบสืบพันธุ์ คุณแม่ควรเริ่มต้นดูแลตัวเอง เช่น
- การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอกภัย การสวมถุงยางอนามัย ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
- รักษาสุขภาพ เลิกสูบบุหรี่
- ถ้าอักเสบในท่อนำไข่ หรืออุ้งเชิงกราน ควรรักษาให้หายสนิทก่อนจะตั้งครรภ์
- หมั่นสังเกตอาการที่เป็นความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก
- ปรึกษาสูตินารีแพทย์ ภายใต้การดูแลและคำแนะนำ เมื่อวางแผนในดูแลครรภ์ในช่วงแรกๆ
สภาวะการตั้งครรภ์นอกมดลูกมีความเสี่ยงทั้งตัวอ่อนในครรภ์ และในตัวคุณแม่สูงมาก การปล่อยให้เติบโตก็ไม่อาจรักษาชีวิตตัวอ่อนได้ รวมถึงตัวคุณแม่เองก็ไม่อาจรับมือไหวได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ปัจจัยหลายๆ อย่างที่ตัวคุณแม่นั้นเคยได้รับมาดั่งเช่นปัญหาสุขภาพ และหลังจากได้ทำความเข้าใจในปัญหาการท้องนอกมดลูกแล้ว คุณแม่ก็ไม่ควรลืมที่จะดูแล รักษาตัวเอง เพื่อที่จะได้มีบุตรที่สมบูรณ์แข็งแรงดั่งที่ตั้งใจไว้