เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวว่ามีเด็กเล็กตั้งแต่่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับชั้นประถมศึกษามีอาการคลื่นไส้และท้องเสียอย่างรุนแรงกว่า 500 คน ที่จังหวัดราชบุรี ผลสรุปจากการตรวจพบเชื้อโนโรไวรัสซึ่งเป็นตัวการทำให้เด็กท้องเสียอย่างรุนแรง ส่งผลให้โรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนมีจำนวนเตียงไม่พอรองรับ ยิ่งถ้ามีอาการรุนแรงมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะภาวะขาดน้ำและความดันต่ำ
หลังจากมีข่าวนี้ออกไป ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีต้องมีการเรียกประชุมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนและกำหนดให้มีการทำ Big Cleaning Day ครั้งใหญ่และให้เพิ่มคลอรีนในน้ำดื่มโดยให้เท่ากับที่ทางสาธารณสุขแนะนำ
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อโนโรไวรัสตัวนี้กัน ว่าจะมีความรุนแรงมากแค่ไหน สาเหตุเกิดจากอะไร ติดต่อกันได้อย่างไรบ้่าง พร้อมวิธีรับมือกันค่ะ
สารบัญ
ทำความรู้จักกับโนโรไวรัส (Norovirus)
โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่ทำให้ระบบทางเดินอาหารเกิดการอักเสบ ไวรัสชนิดนี้มีการระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว ถึงแม้ว่าร่างกายจะได้รับเชื้อเพียงน้อยนิดก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นความน่ากลัวของเจ้าเชื้อโนโรไวรัสนี้คือ ทนต่อความร้อนและน้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ เรียกว่าตายได้ยากมาก เพราะฉะนั้นหากในอาหารและน้ำดื่มมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคตัวนี้ จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และอย่าลืมนะคะเจ้าเชื้อตัวนี้สามารถติดต่อกันได้ง่าย ทำให้มีการแฃแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วในวงกว้างเพียงใช้เวลาไม่กี่นาที
ฤดูในการแพร่เชื้อ
เชื้อโนโรไวรัสนี้มักมีการแพร่ระบาดมากในฤดูหนาว ติดต่อกันได้ง่ายในสภาวะอากาศเย็น ติดต่อกันได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
รับเชื้อได้ทางใด
เชื้อนี้สามารถติดต่อกันได้ง่ายจากคนสู่ ผ่านพฤติกรรมเหล่านี้
- ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีเชื้อโนโรไวรัสเข้าไป ซึ่งพบบ่อยในน้ำดื่ม น้ำแข็ง ผักและผลไม้สด รวมถึงหอยนางรม เป็นต้น
- สัมผัสกับสิ่งของของผู้ป่วย หรือไม่ถ้าเป็นเด็กๆ ก็อาจไปสัมผัสของเล่นของผู้ป่วยแล้วเอามือเข้่าปากโดยไม่รู้ตัว
- สัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง
อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus)
อาการที่สามารถพบได้บ่อยหลังจากได้รับเชื้อไปแล้วประมาณ 1-2 วัน มีดังนี้ค่ะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง
- ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
- ปวดศีรษะ
- มีไข้ต่ำ
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- อ่อนเพลีย
การตรวจหาเชื้อและการรักษา
หมอจะตรวจหาเชื้อจากอุจจาระ จากห้แงปฏิบัติการ หากพบว่าติดเชื้อนี้จริงก็จะดูแลรักษาไปตามอาการ หากเด็กมีภูมิต้านทานดีก็จะสามารถหายได้เองใน 2-3 วัน
แต่ถ้าหากเด็กมีอาการขาดน้ำ หมอจะให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ทานอาหารอ่อน ให้ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ซึ่งถ้าหากเด็กมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาการก็จะรุนแรง ควรอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด เพราะถ้าเด็กมีอาการช็อก ความดันต่ำ อาจส่งผลให้เสียชีวิตได้
การป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัส (Norovirus)
ความสะอาด คือ หัวใจหลักสำหรับการป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งทำได้ดังนี้ค่ะ
- หลังเข้าห้องน้ำ ก่อนจะทานอาหารหรือจะหยิบจับอาหาร ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
- ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ และใช้วิธีให้น้ำไหลผ่านประมาณ 15 วินาที
- เลือกดื่มน้ำหรือทานอาหาร ี่สะอาดและปรุงสุกใหม่
- ใช้ช้อนกลาง หากทานอาหารกับผู้อื่น
จากข้อมูลด้านบน ทำให้เราได้รู้มากขึ้นแล้วว่าเจ้าเชื้อโนโรไวรัสนี้มีความแข็งแรงพอตัว ตายยาก แถมแพร่กระจายได้เร็วอีกต่างหาก ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดและ “เท่าที่เราสามารถควบคุมได้” ก็คือ การพยายามรักษาความสะอาดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เพราะอะไร?”
ก็เพราะว่าในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันและยังไม่มียาตัวใดที่จะรักษาโรคนี้ได้โดยตรง ทำได้แค่รักษาตามอาการเท่านั้น
อ้างอิง bangkokhospital.com