Site icon คุณแม่ลูกอ่อน

สารพันปัญหา ประจำเดือนหลังคลอด

25324353 - upset woman lying in bed beacuse of stomachache

เรื่องของประจำเดือนหลังคลอด เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณแม่ทั้งหลายเป็นกังวลใจกันมาก เพราะแต่ละคนมีเลือดประจำเดือนหลังจากคลอดลูกเร็วและช้าต่างกัน และกังวลไปถึงเรื่องการตั้งครรภ์ต่อเนื่องที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วประจำเดือนจะเกิดจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก มีฮอร์โมน 2 ชนิดคือ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนคอยควบคุม ซึ่งระดับฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กับการตกไข่จากรังไข่ แต่ในขณะตั้งครรภ์จะไม่มีการตกไข่ เพราะฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เพื่อให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปตามปกติ จึงทำให้ไม่มีประจำเดือน เมื่อคุณแม่คลอดแล้ว อิทธิพลของฮอร์โมนเหล่านี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปสักระยะหนึ่ง ทำให้ประจำเดือนของคุณแม่หลังคลอดยังไม่ปกตินั่นเอง

หลังคลอดนานเท่าไหร่ประจำเดือนถึงจะมา?

หลังคลอดกี่เดือนประจำเดือนถึงจะมา เป็นคำถามที่คุณแม่หลายคนสงสัย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วประจำเดือนมักจะกลับมาปกติในช่วง 6 – 8 สัปดาห์หลังคลอด แต่สำหรับคุณแม่ที่ให้ลูกดูดนมอย่างสม่ำเสมอ อาจจะมีประจำเดือนหลังคลอดช้า นั่นก็เป็นผลจากฮอร์โมนโปรแล็กตินที่มีการหลั่งออกมาตอนให้นมลูกทำให้ไข่ไม่ตก ประจำเดือนก็จะยังไม่มี แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่คุณแม่เริ่มให้ลูกทานนมน้อยลงหรือทิ้งระยะห่างในการกินนมมากขึ้น ฮอร์โมนดังกล่าวก็จะถูกปล่อยออกมาน้อยลง จนส่งผลให้ประจำเดือนหลังคลอดมาในที่สุด

ประจำเดือนมาช้าหลังคลอด ปกติหรือไม่?

การไม่มีประจำเดือนในช่วงหลังคลอดนั้นเป็นเรื่องปกติ คุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลหรือต้องมีการดูแลอะไรมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะไม่มีอันตรายใดๆ ส่วนลักษณะของประจำเดือนที่มานั้นจะเหมือนกับการมีประจำเดือนปกติ อาจมีอาการร่วมอย่างการปวดท้องน้อยร่วมด้วย หรือในบางกรณีอาจมีประจำเดือนมาไม่มากในช่วงแรก แล้วจะกลับมาเป็นปกติในที่สุด

มีโอกาสท้องหรือไม่ หากประจำเดือนยังไม่มาหลังคลอด?

ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงหลังคลอดที่ยังไม่มีประจำเดือนโดยเฉพาะในช่วงที่ให้นมลูก แต่การมีเพศสัมพันธ์กับสามีก็อาจจะทำให้ตั้งท้องทั้งๆ ที่ประจำเดือนยังไม่มาได้เช่นกัน บางคนอาจคิดว่าการให้นมลูกคือการคุมกำเนิดตามธรรมชาติ ซึ่งอาจจะช่วยได้ในช่วงแรก แต่ถ้าไม่ได้มีการคุมกำเนิดอย่างเหมาะสม ก็อาจเกิดการตั้งครรภ์ต่อเนื่องได้

หลังคลอดคุมกำเนิดแบบไหนดี?

ในเรื่องการคุมกำเนิดหลังคลอดนั้น ส่วนมากคุณหมอจะแนะนำให้คุมกำเนิดทันที โดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนมา แต่สำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูกนั้น ควรเลือกวิธีคุมกำเนิดที่ไม่มีผลต่อนมแม่ เช่น ยาฉีด หรือยาฝังคุมกำเนิด หรือห่วงคุมกำเนิด เป็นต้น ส่วนยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมนั้น คุณหมอจะไม่แนะนำให้รับประทานเพราะจะมีผลทำให้น้ำนมแม่ลดน้อยลงได้

สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนหลังคลอดยังไม่มาคืออะไร?

  1. คุณแม่ที่ให้ลูกดูดนมอย่างสม่ำเสมอ จะส่งผลให้มีฮอร์โมนโปรแล็กตินหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมอง ทำให้ไข่ไม่ตก ประจำเดือนจึงไม่มา ซึ่งคุณแม่หลังคลอดที่ให้นมลูกอย่างสม่ำเสมอ จึงอาจไม่มีประจำเดือนไปจนถึง 6-7 เดือนเลยก็ได้
  2. ฮอร์โมน เป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์อาจมีผลต่อการมีประจำเดือนในช่วงหลังคลอด
  3. การใช้ยาบางชนิด มีผลกระทบต่อฮอร์โมน ทำให้ประจำเดือนหลังคลอดยังไม่มา
  4. การคุมกำเนิด โดยการฉีดยาคุมกำเนิดหรือฝังยาคุมกำเนิด จะมีผลทำให้ประจำเดือนหลังคลอดไม่มาหรือมาช้ากว่าปกติ
  5. คุณแม่อ้วนหรือผอมเกินไป ย่อมมีผลทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร จึงทำให้ประจำเดือนหลังคลอดมาช้า
  6. คุณแม่หลังคลอดมีอาการซึมเศร้า มีความเครียดสะสม หรือมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกมากเกินไป อาจส่งผลให้ไข่ไม่ตกได้เช่นกัน จึงทำให้ประจำเดือนหลังคลอดยังไม่มา
  7. โรคบางอย่าง มีผลต่อการมีประจำเดือนได้เช่นกัน เช่น โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อต่างๆ และโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคไต ซึ่งมีอาการค่อนข้างรุนแรงและเป็นอย่างต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือมาช้ากว่าปกติได้
    1. อาการผิดปกติที่ควรสังเกตหลังคลอด

      นอกจากเรื่องที่ประจำเดือนหลังคลอดมาช้าแล้ว สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดควรสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ อาการที่มีเลือดออกหลังคลอด แต่ไม่ใช่เลือดประจำเดือน ซึ่งสามารถสังเกตลักษณะของเลือดออกที่คาดว่าผิดปกติได้ดังนี้

      มีเลือดออกมากเกินไป อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งคุณแม่คลอดเองและผ่าคลอด ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่นคลอดยาก ใช้เวลาคลอดเกิดนานเกินไป หรือการติดเชื้อระหว่างคลอด และมีบางกรณีที่เลือดออกมากผิดปกติร่วมกับมีอาการอื่นๆ เช่น ไข้ขึ้น ปวดท้อง ซึ่งมักจะเกิดการอักเสบในโพรงมดลูก แต่ส่วนใหญ่แล้วเลือดที่ออกมามากผิดปกติหลังคลอด มักจะเกิดขึ้น ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังคลอด หากคุณแม่มีเลือดออกผิดปกติในช่วงนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

      มีเลือดออกกะปริดกะปรอยนานเกินไป ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ในบางกรณีอาจมีเศษรกหรือเศษเนื้อเยื่อค้างอยู่ก็ทำให้มีเลือดออกมา หรืออาจเป็นน้ำคาวปลาที่ยังไม่หมดก็ได้ ทั้งนี้หากยังมีน้ำคาวปลาที่เป็นเลือดสีแดงอย่างต่อเนื่องนาน 2 สัปดาห์ อาจมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เช่นกัน

      ที่มา: https://medthai.com