Site icon คุณแม่ลูกอ่อน

วิตามินคนท้อง ที่บำรุงทั้งคุณแม่และลูกน้อย

วิตามินคนท้อง ที่บำรุงทั้งคุณแม่และลูกน้อย

ร่างกายของคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย “วิตามิน” ก็เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เพื่อการบำรุงร่างกายของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ที่สำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกน้อยได้รับสารอาหารที่เพียงพอ วิตามินที่คนท้องควรได้รับมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันค่ะ

วิตามินคนท้อง ที่แม่ควรกิน

แคลเซียม

เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง การที่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย แคลเซียมก็จะไปช่วยเสริมสร้างโครงสร้างร่างกาย กระดูก รวมถึงฟันของลูกน้อยในครรภ์ กลับกันถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อลูกน้อยในครรภ์ เนื่องจากลูกน้อยจะดึงเอาแคลเซียมของคุณแม่ไปใช้ ซึ่งในระยะยาวหากคุณแม่ยังถูกดึงแคลเซียมในร่างกายไปใช้ ก็จะส่งผลให้กระดูกเปราะบาง ผุง่ายกว่าปกติ รวมไปถึงฟันก็จะผุง่ายเช่นกันค่ะ และเมื่อคุณแม่อายุมากขึ้น ก็จะมีอาการตะคริวเกิดขึ้นได้บ่อย เนื่องจากการขาดแคลเซียมนั่นเองค่ะ

ปริมาณ แคลเซียม ที่แม่ท้องควรได้รับ

โดยปกติคนทั่วไป ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมครั้งละ 500 – 600 มิลลิกรัม แต่ในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่ต้องการแคลเซียมมากถึง 1,000 – 1,200 มิลลิกรัม เนื่องจากลูกน้อยดึงแคลเซียมของคุณแม่ไปใช้ โดยเฉพาะในช่วงในไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์

กรดโฟลิก

เป็นวิตามินที่สำคัญมากที่สุดสำหรับช่วงการตั้งครรภ์ เพราะกรดโฟลิกจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะหลอดประสาทไม่ปิดในทารกในครรภ์ หากลูกน้อยในครรภ์ได้รับสารอาหารนี้ไม่เพียงพอจะส่งผลให้พัฒนาในด้านต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ไม่สมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นกระดูกสันหลังหรือไขสันหลัง พัฒนาการของสมอง ตลอดจนทารกจะมีความพิการ หรืออาจมีชีวิตที่ไม่ยืนยาวเท่าที่ควร

ปริมาณ กรดโฟลิก ที่แม่ท้องควรได้รับ

ปริมาณของกรดโฟลิกที่คุณแม่ท้องควรได้รับคือ 400 ไมโครกรัม ต่อวัน ไปตลอดการตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก และ 600 ไมโครกรัม ต่อวัน ในช่วงการตั้งครรภ์เดือนที่ 4 – 9 รวมไปถึงระยะให้นมคุณแม่หลังคลอดก็ควรได้รับกรดโฟลิกอยู่ที่ 500 ไมโครกรัม ต่อวันค่ะ

ปกติแล้ว หลังจากที่คุณแม่ฝากครรภ์กับคุณหมอเรียบร้อย คุณหมอจะมีการให้วิตามินบำรุงมากินค่ะ ได้แก่ แคลเซียม กรดโฟลิก และธาตุเหล็กค่ะ

ธาตุเหล็ก

โรคที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ก็คือ โรคโลหิตจาง ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อลูกน้อยใครรภ์ ได้แก่ มีความเสี่ยงสูงในการแท้ง เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ลูกน้อยในครรภ์มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ลูกน้อยมีภาวะโลหิตจาง ถ้าหากโลหิตจางมาก ๆ อาจส่งผลให้เกิดน้ำคร่ำน้อย ทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ได้ ที่สำคัญ ระหว่างการคลอด คุณแม่อาจเสี่ยงตกเลือด เสียชีวิตได้

ปริมาณ ธาตุเหล็ก ที่แม่ท้องควรได้รับ

ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารสำคัญที่แม่ท้องต้องการตลอดจนช่วงการตั้งครรภ์ในจำนวน 1,000 มิลลิกรัม ต่อวัน โดยจะนำไปสร้างส่วนที่เป็นรกและทารก ไปเพิ่มโลหิตของคุณแม่ และเหลือบางส่วนจะถูกขับออกทางอุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อ

ไอโอดีน

ไอโอดีนมีความสำคัญต่อระบบประสาทของลูกน้อยในครรภ์ หากคุณแม่ได้รับสารอาหารนี้ไม่เพียงพอ อาจส่งผลทำให้สมองของลูกน้อยในครรภ์พิการได้ ร่างกายไม่สามารถสร้างไอโอดีนได้ ดังนั้น คุณแม่ควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยไอโอดีน

ปริมาณ ไอโอดีน ที่แม่ท้องควรได้รับ

คุณแม่ท้องควรได้รับไอโอดีน 170 – 200 มิลลิกรัม ต่อวัน

วิตามินซี

เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น และยังช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง

ปริมาณ วิตามินซี ที่แม่ท้องควรได้รับ

80 – 85 มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณแม่ได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ป่วยง่าย และมีเลือดออกตามไรฟัน

แต่ก็อย่างที่คุณแม่รู้ ๆ กันดีค่ะว่า การกินอะไรที่ซ้ำ ๆ กันเป็นระยะเวลานาน หรือกินในปริมาณที่มากเกินไป จากผลดีอาจกลายเป็นผลเสียได้ แล้ววิตามินซีล่ะจะส่งผลเสียไหม? อย่างไร? (คลิกที่นี่ >> “คนท้องกินวิตามินซีได้ไหม จะอันตรายต่อลูกน้อยหรือเปล่า


คนท้องกินวิตามินซีได้ไหม? ควรกินในปริมาณที่เท่าไหร่ถึงจะปลอดภัย? ไปไขข้อข้องใจกันได้ในบทความนี้เลยค่ะ คลิกที่นี่

วิตามินอี

ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และป้องกันภาวะแท้ง และครรภ์เป็นพิษได้

ปริมาณ วิตามินอี ที่แม่ควรได้รับ

ประมาณ 10 -15 มิลลิกรัม ต่อวัน

วิตามินดี

ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกของลูกน้อยในครรภ์ และช่วยให้กระดูกของลูกน้อยมีความสมบูรณ์

ปริมาณ วิตามินดี ที่แม่ท้องควรได้รับ

ประมาณ 400 หน่วยสากด (IU) หากร่างกายได้รับไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้กระดูกผิดรูปในทารกแรกเกิด

สังกะสี

ช่วยให้ระบบการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นอย่างปกติสมบูรณ์

ปริมาณ สังกะสี ที่แม่ท้องควรได้รับ

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับสังกะสีที่ 20 -25 มิลลิกรัม ต่อวัน หากร่างกายขาดสารอาหารนี้ จะส่งผลให้มีการคลอดก่อนกำหนด ทารกพิการ คุณแม่ตกเลือดหลังคลอดทั้งในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์และที่อยู่ในระยะให้นมบุตร

โอเมก้า 3

มีส่วนช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนของคุณแม่ตั้งครรภ์ ทำให้มดลูกแข็งแรง ช่วยในการไหลเวียนโลหิต ลดความเสี่ยงภาวการณ์คลอดก่อนกำหนด

ปริมาณ โอเมก้า 3 ที่แม่ท้องควรได้รับ

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 เป็นประจำ แต่การกินทุกวันก็อาจเกิดการสะสมของสารตะกั่วในร่างกายได้ ดังนั้นอาจเลือกเป็นการกินวิตามินที่มีโอเมก้า 3 แทน

วิตามินบีรวม (บี1 บี2 บี3 บี6 บี12)

วิตามินเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อพัฒนาการด้านระบบประสาทและสมองของลูกน้อยในครรภ์ รวมถึงการช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง

ปริมาณ วิตามินบีรวม (บี1 บี2 บี3 บี6 บี12) ที่แม่ท้องควรได้รับ

  • วิตามินบี 1 (Thiamine) 3 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 (Riboflavin) 2 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 (Niacin) 20 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 12 ปริมาณ 6 ไมโครกรัม

วิตามินทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นวิตามินสำคัญที่ร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นกินให้หลากหลายเข้าไว้ค่ะ เพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารที่หลากหลายและครบถ้วนนะคะ