อาหารแก้แพ้ท้องถือว่าสำคัญมากสำหรับคุณแม่หลายท่านที่เคยผ่านประสบการณ์แพ้ท้องตอนตั้งครรภ์ คงจะรู้เลยว่าทรมานมากขนาดไหน บางรายก็ถึงขนาดต้องนอนกันเป็นเดือนไม่สามารถจะลุกไปทำกิจกรรมอื่นได้ หรือบางรายก็อยากรับประทานอาหารแปลก ๆ ไปจนถึงกระทั่งเหม็นสามีหรือให้เข้าใกล้ไม่ได้เลย ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นกันทุกคน
สารบัญ
อาการแพ้ท้องมีอะไรบ้าง
โดยส่วนมากแล้วอาการแพ้ท้องในคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีคล้าย ๆ กัน ซึ่งบางรายก็จะมีวิธีตั้งรับไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่จริง ๆ อาจจะยังไม่รู้ โดยรวมจะมีอาการหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
อึดอัด เวียนหัว คลื่นไส้
เริ่มแรกจะรู้สึกอึดอัดท้องทั้งที่การรับประทานอาหารปริมาณเท่าเดิม มีอาการเวียนหัวไม่มาก และง่วงนอนตลอดเวลา บางรายหากเวียนหัวมากจะคลื่นไส้จนอาเจียน และไม่สามารถจะทำงานอื่นได้เลย
ไวต่อกลิ่นฉุน
จะไวต่อกลิ่นโดยเฉพาะกลิ่นกระเทียม สำหรับคนท้องบางรายอาจจะไม่ชอบกลิ่นอาหารประเภทอื่นเพิ่มด้วย ซึ่งเมื่อได้กลิ่นจะยิ่งรู้สึกคลื่นไส้และอยากอาเจียน และบางครั้งก็อยากกินอาหารไม่เคยกินมาก่อนหรือไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำ
รู้สึกหงุดหงิด
คุณแม่ตั้งครรภ์บางรายในช่วงแพ้ท้อง จะมีอาการปวดหัวและรู้สึกหงุดหงิดร่วมด้วย ซึ่งจะมีอาการหงุดหงิดคล้ายกำลังจะมีประจำเดือนซึ่งหากได้กินอาหารแก้แพ้ท้องบางประเภทก็จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้
10 เมนูอาหารแก้แพ้ท้อง ลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความสดชื่นได้
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
โยเกิร์ตจะมีรสชาติไม่หวานมาก มีรสเปรี้ยวหน่อย ๆ อีกทั้งยังมีแคลเซียมสูง จะช่วยทำให้คุณแม่ที่กำลังแพ้ท้องรู้สึกสดชื่นขึ้นได้ สำหรับคนท้องที่ไม่สามารถจะกินอาหารอื่นได้เลยอาจะเพิ่มใส่วนของผลไม้ หรือธัญพืชเข้าไปได้ เพื่อให้ร่างกายไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น และไม่ส่งผลกระทบกับทารกในครรภ์ด้วย
ถั่วต้ม หรือถั่วอบ
แทบจะเป็นอาหารหลักสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้ท้องอย่างหนักก็ว่าได้ เพราะช่วงนี้จะไม่สามารถกินอาหารอื่นได้ ซึ่งถั่วจะมีโปรตีนสูงและดีต่อทารกในครรภ์เป็นอย่างมาก จะช่วยให้ท้องไม่ว่าง และไม่รู้สึกวิงเวียนหรือไม่มีแรง โดยคนท้องส่วนมากก็มักจะกินถั่วได้โดยไม่มีอาการเหม็น หรืออาเจียน
ลูกอมรสผลไม้, รสบ๊วย
ก็เป็นลูกอมแก้แพ้ท้องได้สำหรับคุณแม่ที่มีอาการไม่รุนแรงมากและยังคงกินอาหารได้ปกติ เพียงแต่จะมีอาการเวียนหัวเฉพาะในช่วงตื่นนอนตอนเช้า ก็สามารถจะอมลูกอมแก้แพ้ท้องได้ นอกจากลูกอมรสผลไม้, รสบ๊วยแล้ว คุณแม่บางรายอาจจะแบบเยลลี่หนึบ ๆ แช่ให้เย็นก่อนนำมากินก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้
ผลไม้
ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจะช่วยลดอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างมาก ทั้งที่มีอาการรุนแรงหรือเพียงแค่รู้สึกวิงเวียนในช่วงเช้า การได้กินผลไม้จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นและยังช่วยให้คุณแม่ลดอาการอาเจียนได้ นอกจากนี้ก็ยังได้ประโยชน์จากสารอาหารมากมายที่มีในผลไม้จำพวกวิตามินที่จะช่วยเรื่องระบบ ในร่างกายซึ่งดีต่อแม่และทารกในครรภ์
สมุนไพรแก้แพ้ท้อง
อย่างเช่นน้ำขิง ก็ช่วยให้รู้สึกหายพะอืดพะอมหรือมวนท้องได้ โดยให้ดื่มขณะที่กำลังอุ่น ๆ อยู่ ถ้าหากดื่มในช่วงก่อนนอนก็จะช่วยให้หลับสบายมากขึ้น หรือบางรายก็สามารถจะกินเป็นบัวลอยน้ำขิง ซึ่งก็จะได้ประโยชน์จากงาดำอีกด้วย เพราะมีธาตุเหล็กที่จำเป็นมากสำหรับคนท้อง อีกทั้งยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายไม่หงุดหงิดง่ายอีกด้วย
อาหารรสแซ่บ
คุณแม่ตั้งครรภ์บางรายที่มีอาการแพ้ท้องก็มักจะเลือกอาหารที่มีรสชาตินัว ๆ ไม่เผ็ดมาก เช่น ส้มตำ, ต้มยำ หรือเมนูยำต่าง ๆ ซึ่งจะมีรสเปรี้ยว หวาน ที่จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ แต่ก็อย่าให้เผ็ดมากเพราะหากทานเผ็ดจนเกินไปอาจจะทำให้มีอาการท้องอืด หรือร้อนท้องและรู้สึกไม่สบายตัวมากกว่าเดิม
ขนมปังกรอบ, แครกเกอร์
ขนมปังกรอบหรือแครกเกอร์ กินกับซุปเห็ด ซุปข้าวโพดร้อน ๆ จะช่วยให้คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องรู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะหากมีอาการคลื่นไส้จนอาเจียน หากมีแครกเกอร์หรือขนมปังกรอบ ๆ จะทำให้ท้องไม่ว่างจนเกินไป รวมไปถึงคุณแม่สามารถจะพกพาได้ง่าย หากเป็นแครกเกอร์เมื่อรู้สึกท้องว่างก็สามารถจะหยิบออกมากินได้เลย
เครื่องดื่มหวาน ๆ
สำหรับเครื่องดื่มที่มีความหวาน จะช่วยให้คุณแม่ที่มีอาการอ่อนเพลียจากอาการแพ้ท้อง รู้สึกสดชื่นมากขึ้น และหากทำเป็นสมู้ทตี้ก็จะเพิ่มความสดชื่น ลดอาการคลื่นไส้และช่วยให้ผ่อนคลาย ลดอาการกังวลที่มีในภาวะคนท้องได้
ซุปผัก
ซุปผักโดยเฉพาะซุปฟักทอง ซึ่งน้ำซุปจะปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย เวลารับประทานอุ่น ๆ จะสามารถบรรเทาอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี หรือหากคลื่นไส้จนอาเจียนจนทำให้ท้องว่างซุปผักก็จะช่วยไม่ให้ท้องว่างและไม่ทำให้คุณแม่อ่อนเพลียได้
น้ำมะพร้าว
น้ำมะพร้าวจากธรรมชาติจะเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและยังช่วยบำรุงครรภ์ได้เป็นอย่างดี ด้วยรสชาติความหวานชื่นใจจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในช่วงแรกได้ และหากดื่มเป็นประจำจะช่วยลดความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามอาหารแก้แพ้ท้องจะช่วยบรรเทาอาการของคนท้องได้บ้าง แต่ก็จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ อีกทั้งยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ทั้งคุณแม่ตั้งครรภ์และต่อทารกเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีและส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง