เลือดกำเดาไหลในเด็ก สาเหตุ? แบบไหนควรพบแพทย์

เลี้ยงลูก

ภาวะที่พบบ่อยในเด็ก นั่นก็คือเลือดกำเดาไหลที่มักจะไม่มีอาการรุนแรง แต่ก็มักจะเกิดขึ้นได้บ่อยหลังจากที่มีการแกะ แคะภายในโพรงจมูก หรือแม้แต่การบีบหรือเกาบริเวณจมูก ที่อาจทำให้เกิดการแตกของเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุจมูกได้ นอกจากนี้อาการเลือดกำเดาไหลอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงที่มีอากาศหนาวจนทำให้โพรงจมูกแห้ง โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุ 2-3 ขวบ อาจพบอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย จนทำให้คุณแม่เกิดความกังวลใจได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับสาเหตุของเลือดกำเดาไหล อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ หรือเป็นอาการแจ้งเตือนของโรคบางอย่าง ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่ที่พบว่าลูกน้อยมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อยจนน่ากังวลใจ และเพื่อเป็นแนวทางว่าเมื่อใดควรจะพาลูกไปพบแพทย์ในกรณีที่มีอาการมากจนอาจเกิดอันตราย

สาเหตุของเลือดกำเดาไหลในวัยเด็ก

อย่างที่บอกในข้างต้นว่าอาการเลือดกำเดาไหลที่พบได้ในเด็ก อาจจะไม่มีอาการรุนแรงมากนัก โดยมักจะหยุดไหลเองได้ภายใน 10-15 นาที ซึ่งนอกจากการแกะและแคะภายในโพรงจมูก หรือ อากาศที่เย็นจัดจนทำให้เกิดอาการโพรงจมูกแห้ง การที่ร่างกายเด็กเกิดวิตามินซี ก็อาจทำให้เกิดภาวะเลือดกำเดาไหลได้เช่นเดียวกัน หรือแม้แต่การเกิดอุบัติเหตุจากการกระทบกระเทือน ที่เกิดจากการเล่นซนโดยไม่ได้อยู่ในสายตาคุณแม่

การเกิดภาวะเลือดกำเดาไหล

ภาวะโรคในจมูก

ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อภายในโพรงจมูก ทำให้มีอาการคัดจมูก ระคายเคือง จนเกิดการจาม ที่มีผลทำให้เส้นเลือดฝอยแตก จนเกิดอาการเลือดกำเดาไหลออกมา นอกจากนี้ ยังบ่งบอกถึงอาการร้ายแรงของก้อนเนื้อภายในจมูก หรือ ก้อนเนื้องอกบริเวณหลังโพรงจมูกได้อีกด้วย

ความผิดปกติของร่างกาย

โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคที่มีความผิดปกติของระบบเลือด ทำให้เลือดออกง่าย หยุดยาก ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับเยื่อบุต่างๆ หรือแม้แต่ผู้ที่มีอาการของความดันโลหิตสูง ผู้ที่เป็นโรคตับจนต้องได้รับยาที่ออกฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด ซึ่งทำให้เกิดโอกาสเลือดกำเดาไหลมากกว่าคนทั่วไป

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วเส้นเลือดฝอยภายในจมูกจะเกิดการแตกค่อนข้างยาก ซึ่งหากเกิดขึ้น นั่นแสดงถึงอาการปลายเหตุที่เกิดขึ้นกับร่างกาย หากคุณแม่พบว่าลูกน้อยมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อยจนผิดปกติ ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็ก และต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

เลือดกำเดาไหลแบบไหน ต้องรีบพบแพทย์

หากคุณแม่พบอาการเลือดกำเดาไหลร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์ให้อย่างเร่งด่วน เพื่อรักษาอาการอย่างทันท่วงที

  • ผิวหนังของเด็กมีเลือดออก ซึ่งจะแสดงอาการโดย มีรอยจ้ำเขียว พรายย้ำ หรือ มีจุดเลือดออกตามตัวชนิดจุดแดง
  • มีเลือดออกภายในช่องปาก เช่น เลือดออกตามไรฟัน หรือ ลิ้น
  • มีสีของปัสสาวะคล้ายกับสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีสีของอุจจาระคล้ายกับยางมะตอย หรือ อุจจาระปนกับเลือด
  • เด็กมีภาวะไข้สูงร่วมด้วย
  • มีอาการอ่อนเพลีย ซึมลงผิดปกติ ไม่กระฉับกระเฉง
  • มีอาการเวียนหัว และ สีผิวมีลักษณะซีดลง

สัญญาณของโรคที่เกิดขึ้นจากภาวะเลือดกำเดาไหลของเด็ก

โรคที่อาจเกิดขึ้นได้ หากพบว่าลูกน้อยมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อยจนผิดปกติ จนทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • โรคไขกระดูกฝ่อ
  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านทานตนเอง
  • ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก

วิธีดูแลเด็กเบื้องต้น หากลูกน้อยเกิดภาวะเลือดกำเดาไหล

  • ให้หยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ทุกอย่างทันที โดยไม่ให้เด็กเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน อย่างเช่น หน้ามืด หมดสติ และเป็นลมได้ ในกรณีที่มีเลือดออกค่อนข้างเยอะ
  • จับเด็กให้นั่งเอียงตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
  • ให้เด็กก้มศีรษะลงเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลลงคอ ซึ่งหากเกิดขึ้นอาจทำให้เด็กอาเจียนออกมาปนเลือดได้
  • หากพบว่ามีเลือดกำเดาไหลออกทางจมูกเป็นจำนวนมาก ให้ใช้มือบีบบริเวณปีกจมูกเบา ๆ พยายามให้เด็กหายใจทางปาก และรีบพาส่งโรงพยาบาลโดยทันที
  • หากพบว่ามีเลือดกำเดาไหลค่อนข้างน้อย อาจใช้วิธีการห้ามเลือดด้วยการประคบเย็น

วิธีป้องกันการเกิดเลือดกำเดาไหล

  • พยายามดูแลบรรยากาศภายในห้องนอนของลูกน้อย ไม่ให้มีอากาศที่แห้งจนเกินไป
  • ดูแลลูกน้อยไม่ให้เกิดเยื่อบุที่จมูกแห้ง โดยการใช้น้ำเกลือหยอดจมูก เพื่อลดการเกิดอาการคัน ที่เป็นสาเหตุทำให้เด็กมีการแคะหรือแกะจมูกจนเกินเลือดกำเดาไหลได้
  • การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี อย่างเช่น ผัก ผลไม้ เพื่อช่วยให้หลอดเลือดฝอยภายในจมูกมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะโรคเลือดกำเดาไหลได้น้อยลง

เพราะในปัจจุบันอาการเลือดกำเดาไหล กลายเป็นภาวะที่พบได้บ่อยไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ จึงเป็นเหตุทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้สึกถึงอันตรายหรือสัญญาณเตือนภัยของโรคร้ายได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ภาวะเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ยิ่งถ้าคุณแม่พบว่าลูกน้อยมีเลือดกำเดาไหลมากจนผิดปกติ ไม่ควรชะล่าใจ แต่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ เพื่อปรึกษาและหาสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้น จะปลอดภัยที่สุด

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP