เตรียมลูกให้พร้อมรอบด้านก่อนไปโรงเรียนวันแรก

การเลี้ยงลูกวัย 6 ขวบขึ้นไป

พอดำเนินมาถึงช่วงวัยประมาณ 3 ขวบขึ้นไปคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องก้าวเข้าสู่ช่วงการพาลูกไปโรงเรียนซึ่งยังเป็นปัญหาของหลายๆ ครอบครัวที่ยังไม่มีวิธีรับมือกับความงอแงและความไม่อยากไปโรงเรียนของลูก
แน่นอนเลยว่าเป็นปัญหาที่น่าปวดหัวมากทีเดียว

จะทำอย่างไรดีให้ปัญหาเหล่านี้เบาบางลงหรือสามารถหมดไปได้ วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการเตรียมความพร้อมรอบด้านให้กับลูกก่อนที่จะพาเขาไปโรงเรียนวันแรกกัน

เตรียมความพร้อมด้านจิตใจ

เริ่มจากการพูดถึงโรงเรียนในแง่บอกเข้าไว้ เช่น โรงเรียนสวย โรงเรียนสนุก ไปแล้วเจอเพื่อนๆ ได้เล่นและมีกิจกรรมที่รอให้ลูกไปเรียนรู้อยู่ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าพูดอะไรที่เว่อร์จนเกินไปเพราะถ้าลูกเกิดความคาดหวังแล้วไม่ได้อาจจะทำให้เกิดอาการไม่อยากไปโรงเรียนขึ้นมาในภายหลังได้

นอกจากแง่บวกในเรื่องของโรงเรียนแล้วยังต้องเพิ่มความคิดบวกให้กับตัวของลูกด้วย เช่น พ่อแม่จะภูมิใจในตัวลูกมากถ้าลูกไปโรงเรียน ได้เรียนรู้ ได้ทำกิจกรรม ได้มีเพื่อน พ่อแม่อยากที่จะคอยสอนการบ้านและสนุกไปกับการได้ฟังคำบอกเล่าถึงโรงเรียนจากลูก สิ่งเหล่านี้จะเป็นพลังบวกที่ทำให้ลูกมีความรู้สึกอยากจะไปโรงเรียนมากขึ้นได้

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปโรงเรียนวันแรกคุณพ่อคุณแม่ควรไปส่งลูกด้วยตัวเองและสร้างความมั่นใจให้กับลูกด้วยว่าไม่ได้ทิ้งไปไหนเพียงแค่มาส่งไว้ที่โรงเรียนแล้วตอนเย็นจะรีบมารับลูกอย่างแน่นอนหรือถ้าจะให้ดีก่อนถึงวันแรกที่เปิดเทอมคุณพ่อคุณแม่อาจจะพาลูกแวะไปเดินเล่นทำความคุ้นเคยกับโรงเรียน ห้องเรียน สถานที่ต่างๆ ภายในโรงเรียนก่อนก็ได้ จะได้สร้างความคุ้นเคยให้ลูกลูกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นเอง

เตรียมความพร้อมด้านร่างกาย

เวลาอยู่ที่บ้านด้วยลูกก็มักจะได้รับการดูแลทุกด้านอยู่เสมอและเมื่อต้องออกไปเผชิญโลกภายนอกที่โรงเรียนคนเดียวแล้วนั้นอาจจะทำอะไรเองไม่เป็น จุดนี้อาจจะส่งผลต่อความมั่นใจของลูกได้ ทำให้เสียความมั่นใจที่ทำอะไรไม่เป็น หรือเห็นเพื่อนๆ ทำแล้วทำไม่ได้ทำไม่เป็น อาจทำให้ในวันต่อๆ ไป เจาอาจะเกิดความไม่อยากไปโรงเรียนก็เป็นได้

ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องมาเตรียมความพร้อมให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็น การใส่เสื้อผ้าเอง ทานข้าวเอง เข้าห้องน้ำเอง เป็นต้น

และเมื่อไปโรงเรียนแล้วก็มักจะมีกิจกรรมฝึกทักษะต่างๆ ให้ลูกได้ทำ ผู้ปกครองจึงควรฝึกทักษะเบื้องต้นให้กับลูกก่อน เช่น การจับดินสอ การระบายสี การท่องเลข 0-10, A-Z, ก-ฮ เป็นต้น

ควรเตรียมความพร้อมให้ครอบคลุมไปถึงการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ การรู้จักเข้าสังคม และไม่กลัวการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ อย่าลืมสอนลูกให้รู้จักกับการแบ่งปัน การรอคอย เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขนั่นเอง และสิ่งที่สำคัญที่สุดเด็กๆ มักจะเกิดความเครียดเนื่องจากไม่สามารถสื่อสารสิ่งที่ต้องการได้อาจจะเพราะสาเหตุของความไม่คุ้นเคย การไม่รู้ว่าควรบอกอย่างไร ดังนั้น ควรสอนให้รู้จักพูดและบอกในสิ่งที่รู้สึก เช่น ปวดฉี่ ปวดอึ หิว เจ็บ ไม่ชอบ ร้อน หนาว สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ลูกรู้สึกอุ่นใจและสบายใจว่าเขาไม่ต้องอดทนกับความทรมานเหล่านี้เพราะเขาสามารถแจ้งผู้ดูแลได้ว่าต้องการอะไร รู้สึกอย่างไรนั่นเอง

เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัย

แม้การไปโรงเรียนจะเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สุขใจเมื่อได้เห็นลูกไม่งอแงและอยากไปโรงเรียนแต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องระวังนั่นก็คือความปลอดภัยในเรื่องต่างๆ ของลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันตรายจากคนแปลกหน้า มิจฉาชีพ ที่มักเข้ามาฉวยโอกาสกับความไร้เดียงสาของเด็กๆ เพื่อไปทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่ในเมื่อไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดการเตรียมพร้อมป้องกันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรเตรียมให้ลูกไว้

ต้องคอยบอกให้ลูกระวังคนแปลกหน้า ไม่ว่าจะมาด้วยท่าทางแบบไหน เอาอะไรมาล่อ ก็ต้องสอนให้ลูกนั้นรู้ทันอยู่เสมอ อาจจะมีการบอกโค๊ดลับเอาไว้เพื่อถ้าในกรณีฉุกเฉินจะได้เป็นอีกหนึ่งเกราะป้องกันให้ลูกคิดขึ้นมาทันว่านี่คือความไม่ปลอดภัย

นอกจากนี้ยังควรสอนให้ลูกได้รู้จักวิธีเอาตัวรอดเมื่อบังเอิญต้องตกไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยง เช่น การร้องตะโกน การวิ่ง เป็นต้น

เมื่อเราไม่สามารถอยู่ดูแลลูกได้ตลอดเวลา และก็ไม่ควรฝากความปลอดภัยทั้งหมดไว้ที่โรงเรียนเพียงอย่างเดียว การเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยให้กับลูกถือว่าเป็นสิ่งที่ทำมากที่สุดเลยทีเดียว

หลังจากลูกไปโรงเรียนวันแรกแล้วนั้นถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้เท่านั้น หลังจากที่ลูกกลับมาจากโรงเรียนการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับลูกก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน เพื่อเป็นการคอยตรวจสอบความรู้สึกของลูก เฝ้ามองพัฒนาการ และช่วยให้ลูกพัฒนาไปได้อย่างถูกต้อง นี่คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ยังคงต้องเตรียมพร้อมรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกันต่อไปนั่นเอง

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP