การเรียนแบบโฟนิกส์ (Phonics) คืออะไร? เริ่มต้นสอนลูกอย่างไรดี?

ไลฟ์สไตล์

สารภาพว่าตอนที่แม่โน้ตเรียนภาษาอังกฤษสมัยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 นั้น เวลาอ่านก็จะอ่านแบบ “ซี-เอ-ที แคท แปลว่า แมว” แต่พอมาตอนนี้ลูกเรียนภาษาอังกฤษ กลับมาอ่านให้ฟังว่า “เคอะ-แอะ-เทอะ แคท” เราก็…เอ๊ะ เราไม่เคยเจอแห๊ะ แต่พอทำความเข้าใจและได้คุยกับคุณครูที่โรงเรียน เขาเรียกการเรียนการสอนเช่นนี้ว่า “โฟนิกส์ (Phonics)” ซึ่งจะทำให้เด็ก ๆ ออกเสียง และจดจำภาษาอังกฤษได้ง่ายกว่า รายละเอียดเป็นอย่างไร ไปดูกันค่ะ

โฟนิกส์ (Phonics) คืออะไร?

โฟนิกส์ (Phonics) คือ การเรียนในเรื่องการอ่าน, การเขียน และการออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยการใช้การถอดรหัสเสียง และการผสมเสียงของตัวอักษรจาก a ถึง z ทั้งหมด 26 ตัว เด็ก ๆ จะต้องเข้าใจและจำเสียงตัวอักษรแต่ละตัว (Letter Sound) ให้ได้ก่อนที่จะนำมาผสมเป็นคำ

เริ่มต้นฝึกโฟนิกซ์ (Phonics) ให้ลูกอย่างไร?

คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกโฟนิกซ์ให้ลูกได้ดังนี้ค่ะ

ทำความรู้จักกับตัวอักษรทั้ง 26 ตัว

ให้ลูกเริ่มทำความรู้จักกับตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมด 26 ตัวก่อน อาจจะใช้เป็น Flash Card, Letter blocks หรือ Poster ก็ได้ค่ะ ฝึกลูกจนกว่าลูกจะสามารถเรียงลำดับตัวอักษรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกสามารถเรียงลำดับตัวอักษรได้แล้ว (อาจจะไม่ต้องรอให้ครบทั้ง 26 ตัวก็ได้ค่ะ) เมื่อนั้นแสดงว่าลูกเริ่มมีความพร้อมในการเรียนเรื่องของโฟนิกส์แล้วค่ะ

แม่โน้ต

สำหรับคุณแม่ที่กังวลว่าต้องให้ลูกเรียนรู้ถึงขั้นแยกแยะระหว่าง Capital-Letter และ Lower-case Letter เลยไหม? ความจริงก็ไม่ขนาดนั้นค่ะ เพราะโดยมากแล้วการสอนแบบโฟนิกส์จะเน้นสอนจากตัว Lower-case Letter มากกว่า

เรียนเรื่องเสียงผ่านหน่วยย่อยของเสียง

หน่วยย่อยของเสียง หรือ Phonemic Awareness เป็นการทำให้เด็ก ๆ ได้รู้จักและคุ้นเคยกับการออกเสียงของตัวอักษรแต่ละตัว ผ่านการใช้อวัยวะในการรับเสียงและเปล่งเสียง ได้แก่ หู, ปาก และลิ้น คุณแม่ออกเสียงก่อนและให้น้องพูดตาม ซึ่งข้อนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะจะเป็นพื้นฐานให้เด็กได้เรียนรู้การออกเสียงอย่างถูกต้องในขั้นต่อไปซึ่งเป็นการผสมคำ การออกเสียงของหน่วยย่อย เช่น a ออกเสียง แอะ, b ออกเสียง เบอะ และ c ออกเสียง เขอะ เป็นต้น

สอนการผสมเสียง

เช่น cat ออกเสียงว่า เขอะ-แอะ-เถอะ = แคท, bat ออกเสียงว่า เบอะ-แอะ-เถอะ = แบท หรือ pan ออกเสียงว่า เพอะ-แอะ-เนอะ = แพน เป็นต้น ต่อจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ค่อยฝึกลูกต่อในเรื่องของ Word Family ค่ะ ได้แก่ -at, am หรือ an เป็นต้น

  • -at: cat, hat, bat, mat และ pat เป็นต้น
  • -an: pan, man, van และ can เป็นต้น
  • -am: pam, jam, yam และ sam เป็นต้น
  • ให้เด็ก ๆ ฝึกเขียนคำศัพท์

หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่สอนให้เด็ก ๆ ได้รู้จักกับตัวอักษรทั้ง 26 ตัวแล้ว, สอนให้ลูกออกเสียงตามหน่วยย่อยแล้ว ที่สำคัญ เด็กรู้จักเรื่องของการผสมเสียงแล้ว ให้คุณพ่อคุณแม่ลองบอกคำศัพท์ให้ลูกได้เขียนตาม หรือจะให้ลองเขียนเป็นประโยคสั้น ๆ จากนิทานโฟนิกส์ก็ได้เช่นกันค่ะ

ประโยชน์ของการเรียนแบบโฟนิกส์

จริง ๆ แล้วการเรียนภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่มีการเลิกเรียนกันไปเมื่อราว ๆ 40 ปี มาแล้ว เพราะมีความเชื่อในขณะนั้นว่าการเรียนแบบโฟนิกส์นี้จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ช้า เนื่องจากกว่าจะออกเสียงได้แต่ละตัว ใช้เวลานาน หลาย ๆ ประเทศอย่างประเทศอังกฤษ, อเมริกา หรือออสเตรเลีย ก็เลิกการสอนแบบนี้ไป

ต่อมาไม่นานปรากฏว่าเมื่อเด็กเจอคำศัพท์ใหม่ เด็กอ่านไม่ออก จำคำศัพท์ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้หลาย ๆ ประเทศรื้อฟื้นการเรียนแบบนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ต่อว่าพบว่าเด็ก ๆ ในเมืองเล็ก ๆ ประเทศออสเตรเลียยังมีการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์อยู่ สามารถกวาดรางวัล และจำศัพท์ได้มากกว่าเด็กในระดับชั้นเดียวกัน

จะเห็นได้ว่าการเรียนแบบโฟนิกส์นั้นเริ่มแรกอาจจะดูเหมือนว่ายุ่งยากทั้งในเรื่องของการเรียนและการสอน แต่เมื่อเด็ก ๆ เริ่มคุ้นชินแล้ว เมื่อเขาเจอกับคำศัพท์ใหม่ ๆ เขาจะสามารถอ่านได้ทันที ส่งผลให้จำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้นอีกด้วยค่ะ

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP