พึงระวัง!…ให้ลูกเรียนพิเศษตั้งแต่อนุบาล เพื่อเข้า ป.1 โรงเรียนดัง

ไลฟ์สไตล์
JESSIE MUM

คุณพ่อคุณแม่ทุกคนหวังดีกับลูก อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก คัดมาอย่างดีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย สภาพสังคมแวดล้อม รวมไปถึงเรื่องการศึกษา เพราะความหวังดีนี้เองจึงเกิดเป็นเรื่องราวที่คุณพ่อคุณแม่พยายามกวดขันให้ลูกได้เรียนพิเศษแม้จะอยู่แค่ชั้นอนุบาลก็ตาม เพราะความที่ต้องการให้ลูกได้เข้าเรียนในระดับชั้น ป.1 โรงเรียนดังๆ จนอาจมองข้ามความจริงของวัยและความต้องการที่แท้จริงของลูกว่าเค้าต้องการอะไร

หากคุณพ่อคุณแม่ยังคงต้องการให้ลูกเรียนพิเศษในระดับของชั้นอนุบาลอยู่ล่ะก็ สิ่งที่ต้องพึงระวังไว้มี 5 ข้อ ดังนี้ค่ะ

1.ขวางโอกาสในการพัฒนาสมองที่เหมาะสมตามวัย

ธรรมชาติของเด็กในวัย 2-5 ขวบ จะเป็นวัยที่เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง อยากลอง อยากรู้อะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเอง ชอบที่จะวิ่งเล่น เดินเล่นอย่างอิสระ ขอบขีดชอบเขียน ดังนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมลูกในเรื่องพัฒนาการด้านสมองในวัยนี้คือ พัฒนาการด้านการรับรู้ประสาทสัมผัส การได้ยิน การมองเห็น อารมณ์ เป็นต้น หรือแม้แต่การให้เค้าได้ออกไปวิ่งเล่น ได้เล่นกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน ก็จะทำให้เค้าได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ แล้วค่อยมาฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก อย่างการวาดภาพระบายสี หรือการได้จับดินสอขีดๆ เขียนๆ จะเหมาะกับเค้าที่สุดค่ะ

2.เกิดภาวะความเครียดจากการถูกเร่งรัด (Hurry Child Syndrome)

ข้อนี้นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาทางสภาพจิตที่คุณพ่อคุณแม่หยิบยื่นให้ลูกเพียงเพราะความหวังดี เพราะจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งสามารถแสดงออกมาได้ในหลายรูปแบบ เช่น ตอนเรียนหนังสือเคยทำได้ดีก็วอกแวก ไม่มีสมาธิ ความกระตือรือร้นลดลง เคยทำกิจกรรมที่ชื่นชอบแต่ตอนนี้กลับพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ทำ บางรายมีอาการไม่สบายอย่างเห็นได้ชัด เช่น ปวดท้อง ปวดหัว เป็นต้น

ในชีวิตของเด็กกลุ่มนี้จะมีแต่เรื่องเรียน เพราะต้องเรียนตามใจคุณพ่อคุณแม่ เค้าจะรู้สึกว่าตัวเองแบกความคาดหวังของคุณพ่อคุณแม่ไว้ ขาดการเข้าสังคม ไม่มีพัฒนาการในการเล่นสนุกเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ อาจส่งผลให้ไม่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เมื่อเค้าโตขึ้น ในที่สุดก็เกิด “ภาวะซึมเศร้า” หรืออาจมี “พฤติกรรมที่ก้าวร้าว” ได้

3.พูดคุยกับพ่อแม่น้อยลง

จากเท่าที่ทราบมามีคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านที่ยอมจ่ายเงินเพิ่มหลังเลิกเรียนเพื่อให้ลูกได้เรียนพิเศษต่อ บางรายให้เรียนวันเสาร์ – อาทิตย์ด้วย ยังไม่พอมีซัมเมอร์อีก เมื่อเด็กต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียน แน่นอนค่ะ เวลาที่จะได้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก็ลดลง เพราะในหัวเด็กจะมีแต่เรื่องเรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียนเท่านั้น พอกลับบ้านก็หมดแรงแล้ว นอนดีกว่า

ซึ่งเด็กในวัยนี้เค้าน่าจะได้มีโอกาสไปวิ่งเล่น และได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เองจากนอกห้องเรียนมากกว่า เพราะการได้วิ่งเล่นหรือได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากนอกห้องเรียนนั้นจะทำให้เด็กมีความสุข มีความเข้าใจ และสามารถจดจำสิ่งเหล่านี้ได้ดี

4.จินตนาการถูกขัดขวาง

เด็กวัย 2-5 ขวบ เป็นวัยที่เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง อยากลองทำโน่นทำนี่เอง และเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมเค้าเรื่องพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก โดยการให้เค้าได้ขีดเขียน วาดภาพ หรือระบายสี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นรูปร่างตามความคิดเราก็ตาม แต่สำหรับเค้าอาจเป็นรูปสัตว์หรือดอกไม้ต่างๆ ก็ได้ ตามจินตนาการของเค้า

หากเรามัวแต่พยายามจับให้ลูกมานั่งเรียนหนังสือ นั่งท่องจำ ก้มหน้าก้มตาคุยอยู่กับตำราเพียงอย่างเดียว แล้วลูกจะเอาจินตนาการ เอาความคิดสร้างสรรค์มาจากที่ไหนคะ เพราะถูกขัดขวางแล้วทุกทาง

5.ใส่ใจความสุขของลูก

การเรียนพิเศษไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องไม่ดีนะคะ เพียงแต่ถ้าจะเรียนกันจริงๆ ลองถามความสมัครของลูกก่อน หรือถ้าเค้าอยากเรียนก็ต้องแบ่งเวลาให้ดี ให้ลูกได้มีเวลาผ่อนคลายบ้าง เพราะเด็กในวัยนี้สิ่งที่เหมาะสมกับเค้าควรเป็นเรื่องของการให้อิสระกับเค้า ให้เค้าได้วิ่งเล่น ได้ไปเที่ยวกับครอบครัว ได้ขีดเขียน ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเองนอกห้องเรียน และที่สำคัญ ควรให้เค้าได้มีความสุขกับครอบครัวให้ได้มากทีสุดค่ะ

บทความนี้ไม่ได้จะบอกว่าการเรียนพิเศษไม่ดีนะคะ เพียงแต่ต้องการให้คุณพ่อคุณแม่หันกลับมามองความต้องการของลูกจริงๆ มองว่าความสุขของลูกคืออะไร ถ้าลูกอยากเรียนจริงๆ คุณพ่อคุณแม่อย่างเราก็ให้การสนับสนุนลูกให้เหมาะสมและถูกทางไป แต่ไม่ควรคาดหวังว่าเค้าต้องทำได้ดีนะคะ เพราะที่เค้าตั้งใจเรียนก็เพราะต้องการให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเค้าค่ะ

แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวเกี่ยวกับการยกเลิกไม่ให้มีการสอบเข้า ป.1 ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการอยู่ คงต้องรอลุ้นกันนะคะว่าผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งถ้ายกเลิกการสอบจริงล่ะก็ คุณพ่อคุณแม่คงจะได้เห็นลูกยิ้มกว้างมีความสุขกันอีกครั้งแน่นอน

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP