สอนให้ลูกยอมรับความพ่ายแพ้

การเลี้ยงลูกวัย 3-5 ขวบ
JESSIE MUM

เรื่องความเสียใจ ความผิดหวัง ความพ่ายแพ้ ตลอดจนเรื่องของการเสียน้ำตา แน่นอน…คุณพ่อคุณแม่คงไม่อยากให้ลูกต้องเจอ แต่คงเป็นได้แค่ความใฝ่ฝันเท่านั้น เพราะชีวิตจริงทุกคนต้องเจอ ฉะนั้นการสอนลูกให้รู้จักยอมรับกับความพ่ายแพ้ และสามารถจัดการกับปัญหานั้น ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก ถ้าต้องการเห็นลูกเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

สอนให้ลูกยอมรับความพ่ายแพ้

ให้โอกาสลูกได้รู้จักกับความพ่ายแพ้

ก่อนที่ลูกจะต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอก ให้คุณพ่อคุณแม่ลองชวนลูกมาเล่นเกมกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นวิดีโอเกมนะคะ อาจเป็นกิจกรรมที่เล่นด้วยกันอย่างโดมิโน หรือจังก้า ฯลฯ โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องแกล้งแพ้เพื่อให้ลูกได้ชนะ ได้ดีใจทุกครั้งนะคะ เพราะการแพ้จะทำให้ลูกได้เรียนรู้ว่า เมื่อมีแพ้ได้ก็มีชนะได้เช่นกัน เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตค่ะ

สอนให้ลูกรู้จักกับอารมณ์ของตัวเอง และยอมรับอารมณ์นั้น

เมื่อลูกต้องเจอเรื่องที่ทำให้เขาเหนื่อย ท้อ หรือเสียใจมา ให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตอาการลูกนะคะว่าเขาพร้อมที่จะคุยหรือเปล่า ถ้าหากลูกพร้อมอยู่ ลองสอบถามลูกและอธิบายให้ลูกรู้ว่าที่ลูกรู้สึกอยู่ตอนนี้คือ อารมณ์ไหน เพื่อการจัดการกับอารมณ์นั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องค่ะ

สอนวิธีจัดการกับอารมณ์ด้านลบอย่างสร้างสรรค์

เมื่อลูกรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองแล้ว เช่น อาจโมโหอยู่ก็แนะนำให้ลูกนับเลบ 1 – 10 หรือจะนับยาว ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็ได้ค่ะ จนกว่าจะรู้สึกว่าอารมณ์นั้น ๆ เริ่มหายไป สูดหายใจเข้า-ออกลึก ๆ ดู

สอนให้ลูกแสดงออกอย่างเหมาะสม

เพราะเด็กยังมีอารมณ์ที่ไม่ซับซ้อน รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาอย่างนั้น จนบางครั้งอาจเป็นพฤติกรรมที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ถูกใจซักเท่าไหร่ ซึ่งจุดนี้แหละค่ะที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำหน้าที่ปลูกฝังสิ่งที่เหมาะสมให้กับลูก ให้แสดงอารมณ์ที่เหมาะสมในที่สาธารณะ เช่น เมื่อลูกเป็นผู้ชนะ ลูกดีใจก็จริงแต่ก็ควรไปแสดงน้ำใจนักกีฬาด้วยการเข้าไปขอบคุณคู่แข่งด้วย หรือแม้แต่ลูกเสียใจผิดหวัง ก็ควรเข้าไปแสดงความยินดีกับผู้ชนะเช่นกัน

สอนให้ลูกมองปัญหาและผลกระทบรอบด้าน

เมื่อลูกรู้สึกผิดหวัง เสียใจ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสำรวจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกโดยไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่แรก เพื่อให้ลูกได้คิดตามว่าจุดไหนที่เราพลาดไป พลาดจากตัวเองหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก ประสบการณ์นี้สอนอะไรลูกบ้าง ลูกได้รับผลกระทบอะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้าง เรียกว่าสอนให้ลูกมองปัญหาและผลกระทบให้จบกระบวนความกันเลยทีเดียวค่ะ เมื่อลูกมองออกแล้วค่อยมาหาวิธีแก้ปัญหา และป้องกันปัญหากันต่อไป

ให้เวลาลูกได้อยู่กับตัวเองซักพัก ในบรรยากาศที่สงบ

หลังจากที่ได้คุยกับลูกแล้ว ลูกได้รู้ถึงผลกระทบ พร้อมทางแก้แล้ว คราวนี้ลองให้ลูกได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองในที่ที่สงบซักพัก เพราะเมื่อไม่มีสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้นลูกก็จะมองเห็นภาพรวมต่าง ๆ ได้มากขึ้น

เป็นต้นแบบที่ดีในการจัดการกับปัญหา

ต้นแบบที่ดีก็คือ คุณพ่อคุณแม่นั่นเองค่ะ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ลูกเห็นว่าแม้คุณพ่อคุณแม่จะเจอกับปัญหาอะไรมา หรือผิดหวังจากอะไรมา คุณพ่อคุณแม่ก็ยังสามารถรับกับปัญหานั้นได้ แสดงออกได้ และจัดการมันได้อย่างเหมาะสม

เหตุผลที่ต้องปล่อยให้ลูกได้พ่ายแพ้บ้าง

เพื่อพัฒนาทักษะการเผชิญกับความเครียด

เพราะพื้นฐานที่ดีควรเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน เช่น การชักชวนกันเล่นเกมโดมิโน เกมจังก้า หรือเกมอื่น ๆ ที่มีแพ้มีชนะ เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ และจัดการกับความเครียด (อารมณ์ของตัวเอง)

ลูกจะมีความสุขมากขึ้น

ถ้าหากเด็กคนไหนสามารถจัดการกับความพ่ายแพ้ได้ นั่นหมายความว่า เขาสามารถจัดการกับความเสียใจ ความเครียดได้ เพราะฉะนั้นเขาจะแข่งขันหรือจะเล่นได้อย่างมีความสุข มีความสนุกมากขึ้น

ลูกจะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้ดี

ก่อนที่ลูกจะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้ดีนั้น เขาจะต้องเคยสัมผัสกับความรู้สึกดังกล่าวนั้นมาก่อน

ลูกจะมีความมั่นใจมากขึ้นและควบคุมตัวเองได้มากขึ้น

เพราะเขาได้รู้แล้วว่าความเสียใจเป็นอย่างไร และต้องจัดการมันอย่างไร ลูกจะเรียนรู้ว่าความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของชีวิต และเขาจะเรียนรู้ได้อีกว่า การประสบความสำเร็จได้นั้นมันขึ้นอยู่กับตัวของเขาเอง ไม่ใช่รอใครมาหยิบยื่นให้

บอกเลยค่ะว่าการสอนลูกให้เข้าใจ หรือจะปลูกฝังอะไรลูกสักเรื่อง ต้องใช้เวลา ไม่ใช่พูดครั้งเดียวลูกจะเข้าใจและทำได้ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกด้วยนะคะ

อ้างอิง
phyathai.com
Thepotential.org

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP