ความเป็นพ่อเป็นแม่นั้นไม่ง่ายเลย การที่จะเลี้ยงดู อบรมลูกให้อยู่ในวิถีทางที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ยากถ้าคิดจะทำ หน้าที่ที่ท้าทายของพ่อแม่ในยุค 4.0 ต้องเรียนรู้และทำให้สำเร็จเพื่อลูกๆของเรานะคะ
โลกต่อไปในศตวรรษที่ 21 เป็นยุคที่เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว เราต้องเตรียมลูกๆให้พร้อม โดยเน้นทักษะเหล่านี้
1. Attitude – ทัศนคติที่พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ อดทน มีความคิดสร้างสรรค์ ริเริ่มสิ่งใหม่ ปรับตัวง่าย
2. Skill – ฝึกการเรียนรู้จากการลงมือทำ การเล่น การได้ทำจริง
3. Knowledge – ศึกษาหาความรู้ให้รู้รอบ และประยุกต์ใช้ความรู้ให้ได้
บริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป ระบบการศึกษาและการเรียนรู้ก็ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย แล้วเราจะวางแนวคิดให้ลูกได้อย่างไร ที่ไม่เป็นการยัดเยียดให้ลูกมากเกินไป และมีความสุขไปด้วยกัน
การที่จะทำอะไรดีๆ ย่อมต้องมีปัญหาและอุปสรรค เคยไหมคะที่อยากให้ลูกทำอะไรบางอย่างแล้วลูกต่อต้าน ปฏิเสธ “ไม่” ท่าเดียวโดยไม่สนใจเหตุผลใดๆ อาการดื้อของลูกวัย 5 – 6 ขวบเป็นวัยที่มีความคิดและความต้องการ มีความเป็นตัวของตัวเอง การที่เราจะใช้กำลังหักหาญน้ำใจอาจไม่ให้ผลที่ดีนัก เราต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการรับมือกับลูก
สารบัญ
1.ไม่บ่น
การบ่นเป็นวิธีที่ไม่ได้ผลเลย หนำซ้ำยังทำให้เกิดความรำคาญและการต่อต้านจากลูกอีก
2.อย่าใส่ใจกับคำว่า “ไม่”
เมื่อถึงเวลาทานข้าว แล้วลูกไม่ยอมทาน เอาแต่เล่นเกม หรือเพลิดเพลินกับสิ่งอื่นอยู่ ลูกปฏิเสธ “ไม่ หนูยังไม่หิว” ทั้งที่เลยเวลาทานอาหารมาแล้ว อย่าพึ่งโกรธนะคะ อย่าใส่ใจกับคำว่าไม่ ลองปล่อยเวลาให้ลูกอีกสักพักหนึ่ง แต่อาจจะบอกเงื่อนเวลาว่า แม่ให้เล่นอีก10 นาทีนะ แล้วเมื่อครบ 10 นาทีเราค่อยกลับมาติดตามผลค่ะ
3.มองเป็นเรื่อง “ขำๆ”
บางครั้งพ่อแม่อาจจะดูเข้มงวด เพราะด้วยความเป็นห่วงและหวังดีของเรา บางครั้งถ้าลูกไม่ทำตามอย่างที่เราคาดหวัง ก็อย่าไปคาดหวังมาก เพราะหวังแล้วไม่ได้ดังหวังก็จะผิดหวัง ก็คืออยู่กับความเป็นจริงให้มาก ตอนเด็กๆเราก็เคยดื้อ เราก็อยากทำตามใจตัวเองแบบนี้ สนุกและเรียนรู้กับลูกไปค่ะ เติบโตไปด้วยกัน บางครั้งเราก็เรียนรู้จากมุมมองของลูกเหมือนกันนะ
4.เมื่อลูกดื้อมาก ต้องทำทันที
เมื่อลูกดื้อไม่เชื่อฟังในสิ่งที่ถูกต้องที่บอกด้วยเหตุผลแล้ว เราต้องจัดการกับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์นั้นทันที เช่น หากลูกไม่ยอมหยุดเล่นเกมเราก็ควรจะยึดของเล่นนั้นซะ อย่าใจอ่อนเด็ดขาดนะคะ เพราะจะทำให้ลูกคิดว่า ร้องไห้อีกหน่อยเดี๋ยวแม่ก็ยอม แล้วเขาจะทำแบบนี้เรื่อยๆ
5.ต้องเด็ดขาด
บางครั้งความใจอ่อนทำให้เสีย ยิ่งกับลูกวัยที่เริ่มใช้ความคิดวิเคราะห์ได้เก่งขึ้น เราก็ต้องตามให้ทัน ฝึกให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ในกฎเกณฑ์บ้าง อะไรที่ไม่ควรทำ ก็ต้องบอกกันตรงๆ ไปเลย
การเรียนรู้เริ่มต้นที่บ้านนะคะ เหมือนต้นไม้จะเติบโตแข็งแรงต้องมีรากที่แข็งแรงค่ะ
แน่นอนว่า…
บางครอบครัวอาจจะมีคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายช่วยเลี้ยงก็นับว่าโชคดีมากนะคะ เพราะท่านสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของเราเมื่อต้องออกไปทำงาน แต่บางความเชื่อในการเลี้ยงดูของคนรุ่นก่อนเมื่อ “เด็กดื้อ” ก็จะคิดถึงการ “ตี” มาเป็นลำดับแรก “ตีเลย ไม่อย่างนั้นจะคุมยาก เดี๋ยวโตแล้วเอาไม่อยู่”
ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยระบบคิดเช่นนี้ ซึ่งตามยุคสมัยนั้นมันก็คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ช่วยให้เราเดินตามทางที่ถูกที่ควร ไม่หลงมัวเมาไปติดยาเสพติด ไม่ไปทำตัวเสียๆหายๆ ซึ่งด้วยความรักความเป็นห่วงของพ่อแม่นั่นแหละที่ทำไปทั้งหมด ดิฉันคิดว่าก็ไม่ผิดนักที่จะใช้วิธีนี้ในบางโอกาส
แต่ข้อควรระวังถ้าเราเลือกวิธีการ “ตี” เพื่อให้ลูกหลาบจำ เพื่อให้ลูกกลัว ไม่กล้าทำอีก หรือด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ควรใช้ความยับยั้งชั่งใจตัวเองด้วย เพราะเมื่อไรก็ตามที่ใช้ความรุนแรง บาดแผลย่อมเกิดในใจลูกเสมอ และเมื่อเกิดแล้วก็จะถูกจดจำ และมีแนวโน้มที่ลูกจะยึดเป็นแบบแผนในการแก้ปัญหาของเขาในอนาคต
มีวิธีอื่นๆอีกมากมาย ลองปรับใช้อย่างสร้างสรรค์ เน้นที่การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข พ่อแม่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าเห็นลูกเติบโต แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจจริงไหมคะ