ต้องระวัง! หากคุณแม่มีอาการปวดหัวตอนตั้งครรภ์

สุขภาพช่วงตั้งครรภ์

อาการปวดหัวน่าจะเคยเกิดขึ้นกับแทบทุกคนแต่ถ้าบังเอิญมาเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องละก็ต้องระวังเป็นพิเศษเพราะอาการเหล่านี้อาจจะส่งผลไปถึงลูกของคุณได้ง่ายๆ ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจถึงสาเหตุและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นรวมทั้งวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้องกับอาการปวดหัวตอนตั้งครรภ์กันก่อนดีกว่า

อาการนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร?

สาเหตุที่ชัดเจนยังไม่สามารถระบุได้เพราะต้องอาศัยการตรวจเป็นรายคนว่าเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนหรือเพราะปริมาณเลือดในร่างกายสูงขึ้นและอาการปวดหัวก็มักจะเริ่มเบาลงเมื่อร่างกายสามารถปรับตัวกับการตั้งครรภ์ได้

แต่ถ้าผ่านช่วง 3-4 เดือนแรกไปแล้วอาการปวดหัวมันก็ยังไม่หายไปคิดว่าอาจจะมีสาเหตุมาจากเรื่องอื่นแล้วก็เป็นได้ ตัวอย่างของอาการปวดหัวช่วงตั้งครรภ์ก็อย่างเช่น ความหิว นอนไม่พอ การเลิกดื่มพวกคาเฟอีนไป ภูมิแพ้ เครียด ซึมเศร้า ขาดน้ำ หรือตาล้า เป็นต้น

ส่วนถ้านานไปแล้วแม้ไปตรวจก็ไม่พบสาเหตุของการปวดหัวก็เป็นไปได้ว่าอาการดังกล่าวจะเกิดจากการยืนหรือการนั่งที่ไม่เหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป หรืออาจะเป็นเรื่องของความดันที่สูงกว่าปกติหรืออันตรายที่สุดก็คือภาวะครรภ์เป็นพิษนั่นเอง เอาเป็นว่าถ้าเกิดอาการปวดหัวขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุและเรื้อรังคุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์จะดีที่สุด

แล้วอาการเหล่านี้มีระดับความอันตรายมากขนาดไหน?

ก่อนจะพูดถึงระดับของความอันตรายนั้นอยากให้รู้กันก่อนว่าอาการปวดหัวช่วงตั้งครรภ์อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเพราะมันอาจส่งผลทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติได้ และยิ่งถ้าคุณไม่ใช่คนที่มีอาการปวดหัวมาก่อนยิ่งควรรีบไปพบแพทย์อย่างไม่ต้องสงสัยอะไรมากนัก

แต่ถ้าคุณคือคนที่มักมีอาการปวดหัวอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์เราก็มีหลักของอาการปวดหัวในแบบที่ถ้าเป็นแล้วควรรีบไปพบแพทย์ทันที ยกตัวอย่างเช่น ปวดหันแบบรุนแรงและเกิดขึ้นแบบฉับพลัน ปวดหัวพร้อมกับมีไข้และยังเกิดอาการคอแข็ง ปวดหัวแล้วมีอาการของการมองเห็นผิดปกติจุกเสียดคลื่นไส้และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแถมยังมีอาการบวม ปวดหัวรุนแรงจนเกิดอาการพูดไม่ชัดสายตาพร่ามัวเหน็บชามาเยือนและมีการรับรู้แปลกไปจากเดิม ปิดท้ายด้วยอาการปวดหัวหลังจากที่ได้รับอาการบาดเจ็บที่หัว เป็นต้น ซึ่งเท่าที่ยกตัวอย่างมาก็ถือว่ารุนแรงพอสมควรยิ่งถ้าเกิดขึ้นตอนตั้งครรภ์แล้วไม่ควรช้าเพราะสิ่งเหล่านี้จะกระทบกับลูกด้วยนั่นเอง

ควรจะดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างไรบ้าง?

นี่คือข้อแนะนำเพื่อช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น

  • พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามเข้านอนให้เร็วขึ้นและตื่นในเวลาปกติตามกิจวัตรเพื่อเพิ่มเวลาให้กับร่างกายได้พักผ่อนมากขึ้นนั่นเอง
  • พยายามทานอาหารให้ตรงเวลา คุณมีลูกที่กำลังรออาหารอยู่ดังนั้นทานให้ตรงเวลาเพราะคุณยังต้องใช้พลังงานมากกว่าตอนไม่ได้ตั้งครรภ์และการทานอาหารที่มีประโยชน์จะสามารถช่วยลดอาการผิดปกติต่างๆ ได้และยังเป็นการช่วยเสริมสารอาหารที่จำเป็นให้กับลูกอีกด้วย ที่สำคัญอย่าปล่อยให้ตัวเองต้องรู้สึกหิวเด็ดขาด
  • หากต้องทานยา แนะนำให้ทานยาในกลุ่มพาราเซตามอล และพยายามหลีกเลี่ยงตัวยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยาแก้ปวดไมเกรน นอกจากนี้ทางที่ดีที่สุดก่อนทานยาทุกอย่างควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • คุมความเครียด แม้ว่าจะเป็นข้อที่พูดง่ายทำยากแต่ก็มีทางเลือกเดียวก็คือคุณแม่ต้องพยายามทำมันเพราะเป็นผลดีกับทั้งร่างกายของคุณและลูกอย่างแน่นอน
  • ออกกำลังกาย ให้เลือดลมได้สูบฉีดกันบ้างพยายามเน้นไปที่กิจกรรมที่ไม่ต้องใช้แรงมาก อย่างเช่น การเดิน แอโรบิก ว่ายน้ำ กิจกรรมเข้าจังหวะ เป็นต้น
  • นวด นี่คือการแก้ไขที่แทบจะตรงจุดที่สุดหากปวดก็นวดแต่ก็ต้องเน้นคนนวดที่มีความเชี่ยวชาญเพราะหากเกิดผิดพลาดคุณอาจะปวดเมื่อยกว่าเดิมก็เป็นได้ อาจจะเพิ่มการประคบร้อนและเย็นเข้าไปในกระบวนการนวดด้วยก็ได้
  • พยายามอยู่ให้ไกลจากสิ่งกระตุ้น หลักๆ เลยคือกลิ่นและรสชาติอาหารต่างๆ ที่ก่อนการตั้งครรภ์คุณอาจจะรู้ดีอยู่แล้วว่าคุณไม่ค่อยถูกกับอะไรก็พยายามเลี่ยงมันเสียดีกว่า

การตั้งครรภ์หากคุณแม่กังวลและเครียดมากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นได้ อยากให้คุณแม่ทุกคนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่พยายามใช้ชีวิตให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามพาตัวเองไปอยู่ในแง่มุมที่ดีและเพิ่มกำลังใจ ออกกำลังกาย หากมีอะไรผิดปกติไม่ต้องกังวลมากไปให้รีบไปพบแพทย์ เพียงเท่านี้อาการใดก็ยากที่จะเข้ามาทำร้ายคนที่มีสติรู้คิดติดตัวอยู่ตลอดเวลาได้

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP