ความที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ ถ้าพูดถึงเรื่อง “ลูก” เชื่อว่าทุกคนคงให้ความสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง ใส่ใจดูแลตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์จนกระทั่งหลังคลอดคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายคนเมื่อคลอดลูกออกมาแล้วก็จะกังวลว่า เราจะดูแลลูกได้ดีมั้ย? หรือจะดูแลได้ดีแค่ไหน? ลูกจะอิ่มหรือยัง? เราจะรู้ได้อย่างไร? และอีกคำถามร้อยแปดในหัว
ซึ่งหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่กล่าวไปนั่นก็คือ “ปัญหาทารกสะอึก” โดยเฉพาะหลังกินนม บางคนสะอึกอยู่พักหนึ่งก็หาย บางคนสะอึกนานจนทำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นกังวล วันนี้แม่โน้ตมีวิธีแก้ทารกสะอึกมาฝากค่ะ ไปดูกันค่ะว่ามีอะไร? และต้องทำอย่างไรบ้าง?
สารบัญ
“สะอึก” เกิดจากอะไร?
เพราะความที่อวัยวะหลายๆ อย่างของทารกยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ จึงส่งผลให้การทำงานยังไม่เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน การควบคุมจึงยังทำได้ไม่ดีนัก อย่างการสะอึกนี้ เป็นผลมาจากการทำงานของกระบังลมทำงานไม่สัมพันธ์กับการหายใจออกของทารก เพราะหลังจากที่ทารกกินนมอิ่มแล้ว กระเพาะจะเกิดการขยายตัวเพราะมีน้ำนมเข้าไปแทนที่ ทำให้เกิดแรงดันส่งไปยังกล้ามเนื้อกระบังลมที่อยู่บริเวณรอยต่อระหว่างช่องปอดและช่องท้อง ทำให้กระบังลมหดตัวอย่างรวดเร็วขณะที่ทารกหายใจออกค่ะ
สะอึกแบบนี้จะอันตรายหรือไม่?
จริงๆ แล้วการสะอึกของ ทารกนับเป็นเรื่องปกติค่ะ ทารกเมื่อสะอึกไปซักพักก็จะหยุดได้เอง และหากเค้าโตขึ้นจนอายุราว 4-5 เดือน อาการสะอึกก็จะค่อยๆ ทุเลาลง หรือหากจะมีก็นานๆ ที แต่ยกเว้นว่าทารกมีอาการสะอึกนานจนอาเจียน อย่างนี้ควรไปพบคุณหมอค่ะ
วิธีแก้ให้ทารกหายสะอึก
ช่วยไล่ลมหลังทารกกินนม
หลังจากที่ลูกกินอิ่มแล้ว ให้คุณแม่ช่วยไล่ลมให้ลูกทุกครั้ง มี 3วิธีง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
- แขนข้างหนึ่งอุ้มลูกให้ส่วนหัวพาดอยู่บนบ่า มืออีกข้างหนึ่งลูบหลังลูกเบาๆ หรือ
- อุ้มเค้าให้ลำตัวตรงสักหน่อย เดินไปเดินมา เพื่อให้น้ำนมได้ถูกย่อยออกจากกระเพาะได้เร็วขึ้น
- ให้ลูกนั่งบนตัก แล้วใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ประคองคางไว้ ให้ลำตัวลูกเอนมาด้านหน้าเล็กน้อย คุณแม่ใช้มือข้างหนึ่งลูบหลัง เบาๆ ช้าๆ จากด้านหลังเอวมาถึงช่วงต้นคอ ทำอย่างนี้ซ้ำๆ วนไปค่ะ ประมาณ 5-10 นาที
กินนมแม่
การที่ทารกได้ดูดนมแม่ จะเป็นการช่วยให้ทารกฝึกการหายใจได้ดียิ่งขึ้น ถ้าเป็นไปได้ควรกินแต่นมแม่อย่างเดียวนะคะ ยังไม่ต้องให้ดื่มน้ำเปล่า และอาการสะอึกก็จะค่อยๆ ดีขึ้น และหายไป
หลีกเลี่ยงการทานมจากขวด
เพราะการทานนมจากขวด จะทำให้ทารกดูดลมเข้าไปในกระเพาะมากขึ้น
ห้ามบีบจมูก
หากลูกสะอึก ห้ามคุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีบีบจมูกลูก เหมือนที่ผู้ใหญ่ทำนะคะ
ปรึกษาคุณหมอ
เมื่อไหร่ที่ควรพาทารกไปพบคุณหมอ? มีดังนี้ค่ะ
- สะอึกต่อเนื่องกันนานเกินกว่า 3 ชั่วโมง หรือสะอึกจนดูแล้วลูกหายใจลำบากหรือหายใจไม่ออก
- มีไข้สูง ปวดท้อง อาเจียน หรือถ่ายแล้วมีเลือดปนออกมา
- หากลูกต้องทานยาชนิดใดชนิดหนึ่ง แล้วหลังจากทานยานั้น ลูกมีอาการสะอึก อย่าลืมนำยาที่ทานนั้นไปให้คุณหมอ เพื่อประกอบการวินิจฉัยโรคด้วยนะคะ
หากลูกโตเกินวัยแล้ว ยังมีอาการสะอึกอยู่จะทำอย่างไรดี?
รศ. พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ได้แบ่งสาเหตุออกเป็น4 ข้อใหญ่ ๆ ดังนี้
- ความผิดปกติของกระบังลม ได้แก่ หลอดอาหาร ปอด เส้นประสาทกระบังลม ยกตัวอย่างเช่น หลอดอาหาร เกิดจาก การรีบร้อนกลืนอาหาร ทำให้อาหารติดคอ กลืนลำบากหรือเส้นประสาทกระบังลมมีการระคายเคือง เช่น การผ่าตัดช่องอก หรือการอักเสบของช่องอก เป็นต้น
- ความผิดปกติของช่องท้อง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบเฉียบพลัน ตับอ่อนอักเสบ
- ความผิดปกติของสมอง เช่น กะโหลกศีรษะแตก สมองถูกกระทบกระเทือน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น
- สภาวะทางจิตใจ เช่น เครียด วิตกกังวล หรือการแกล้งทำ เป็นต้น อาการสะอึกที่เกิดจากข้อนี้ จะหายไปในขณะหลับหรืออยู่คนเดียว
ทารกสะอึกแบบไหนที่ควรพบแพทย์
จริงอยู่ว่าการที่ทารกสะอึกเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรวางใจ ละเลยกับอาการที่เกิดขึ้น แต่ควรสังเกตอาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด โดยหากพบว่าลูกน้อยมีอาการดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ ควรพาลูกน้อยเข้าพบแพทย์ทันที
เด็กทารกหรือเด็กเล็ก
- ทารกสะอึกติดต่อกันนานเป็นเวลาหลายชั่วโมง
- มีแหวะนมที่ผสมกับน้ำดีร่วมด้วย
- มีอาการซึม ไม่ร่าเริง
- ไม่ยอมนมหรือทานอาหาร
- มีไข้ ร้องงอแงไม่หยุด
- ท้องป่อง
เด็กโต
- เด็กโตมักจะมีการสะอึกที่แรงกว่าทารก คล้ายกับมีอาหารติดคอ
- หายใจไม่ทัน หายใจไม่ออก
- หน้าเขียว
- พูดไม่รู้เรื่อง จับความไม่ได้
- พูดไม่มีเสียง
ข้อห้าม หากทารกสะอึก
สำหรับข้อห้ามจะเป็นข้อห้ามสำหรับเด็กทารกหรือเด็กเล็กค่ะ ขณะที่ลูกสะอึกควรงดการให้น้ำในปริมาณมากๆ เพราะน้ำจะยิ่งเข้าดันที่กระบังลม ลูกจะสะอึกมากขึ้น หรืออาจทำให้เกิดการสำลักได้
การสะอึกของทารกนั้นนับเป็นเรื่องปกติค่ะ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้ ป้องกันไม่ให้เค้าสะอึกได้ ลูกน้อยจะได้หลับสบายไม่เหนื่อยอีกด้วยค่ะ แต่หากสังเกตแล้วว่าลูกสะอึกนานเป็นชั่วโมงเลย แบบนี้ควรพบคุณหมอทันทีค่ะ