หลายครอบครัวที่แต่งงานแล้วก็อยากที่จะมีเบบี๋แต่ขณะที่อีกหลายครอบครัวยังไม่พร้อม ยาคุมกำเนิดจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คู่สามีภรรยาเลือกใช้ แต่…ก็ยังมิวายที่หลายครอบครัวจะยั้ง ๆ ไว้ก่อนไม่กล้าทานเพราะได้ยินมาว่ายาคุมกำเนิดนั้นมีผลข้างเคียงแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งหลาย ๆ ข้อเป็นความเชื่อที่ผิด มาค่ะ วันนี้เรามาปลดล็อกความเชื่อที่ผิด ๆ นี้กัน
สารบัญ
- ยาคุมกำเนิด กับ ความเชื่อผิด ๆ
- ความเชื่อ: กินยาคุมกำเนิดนาน เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม
- ความเชื่อ: กินยาคุมกำเนิด แต่ดันท้อง ลูกจะพิการแต่กำเนิด
- ความเชื่อ: ถ้าอยากท้องควรหยุดกินยาคุมสักระยะ
- ความเชื่อ: ถ้ากินยาคุมมานาน จะมีลูกยาก
- ความเชื่อ: ยาคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100%
- ความเชื่อ: หากกินยาคุมแล้วมีอาการคลื่นไส้ แสดงว่าแพ้ยา ความจริง: บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนคล้ายอาการของคนที่แพ้ท้อง โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มกินแผงแรก อาการนี้ไม่รุนแรงค่ะ เพียงแต่ทานให้ครบแผง ตรงเวลาจนหมดแผง พอถึงแผงถัดไปก็ร่างกายก็จะเริ่มปรับตัวได้ อาการดังกล่าวก็จะหายไป ซึ่งอาการคลื่นไส้ดังกล่าวไม่ใช่อาการแพ้ยา แต่เป็นผลข้างเคียงของการทานยาเท่านั้น ความเชื่อ: ยาคุมทำให้อ้วนขึ้น
- ความเชื่อ: กินยาคุมย้อนศร หรือผิดวัน ตั้งครรภ์แน่ ความจริง: สำหรับยาคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ด เราสามารถสลับทานเม็ดไหนก็ได้ เพียงแต่ที่ควรทานเรียงกันก็เพราะว่าเป็นการป้องกันการลืมทาน ยกตัวอย่างเช่น ต้องทานเม็ดที่ 5 แต่กลับไปกินเม็ดที่ 15 ก็ยังได้ค่ะ แล้วพอวันที่ 6 ก็ทานของวันที่ 6 ตามปกติไปจนชนกับวันที่ 15 เพราะยาคุมชนิดนี้จะมีปริมาณยาที่เท่ากันทุกเม็ด ในขณะที่มียาคุมกำเนิดบางชนิดที่ตัวยาแต่ละตัวไม่เท่ากัน หากมีการกินสลับวัน ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วย ความเชื่อ: ทานยาคุมทำให้น้ำนมหด
ยาคุมกำเนิด กับ ความเชื่อผิด ๆ
พ.ญ. พิณนภางค์ ศรีพหล สูตินรีเวช โรงพยาบาลสมิติเวช ได้ออกมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการทานยาคุมกำเนิดไว้ ดังนี้
ความเชื่อ: กินยาคุมกำเนิดนาน เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม
ความจริง: ยาคุมกำเนิดโดยทั่วไปที่เราพบกันได้ตามท้องตลาดจะมีฮอร์โมนสังเคราะห์อยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ซึ่งปกติแล้วความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งของผู้หญิงจะขึ้นอยู่กับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายถ้ามีสูงเกินไปและเป็นระยะเวลานาน
ทั้งนี้ ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดไม่ว่าจะชนิดกินหรือชนิดฉีดจะอยู่ในร่างกายของเราได้ไม่นานนัก ถ้าจะบอกว่ามีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งนั้นมีน้อยมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากหยุดยาคุมมานานกว่า 10 ปี ยิ่งไม่มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้
ความเชื่อ: กินยาคุมกำเนิด แต่ดันท้อง ลูกจะพิการแต่กำเนิด
ความจริง: ยาคุมกำเนิดไม่มีผลต่อความพิการของทารกแต่กำเนิด ถึงแม้ว่าจะลืมทาน แล้วเกิดมีการตั้งครรภ์ขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ แล้วยังกลับไปทานยาคุมกำเนิดต่อแบบไม่รู้ตัวก็ตาม
ความเชื่อ: ถ้าอยากท้องควรหยุดกินยาคุมสักระยะ
ความจริง: ปกติแล้วฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดจะอยู่ในร่างกายของเราได้ไม่นานอยู่แล้ว ซึ่งบางกรณีเราอาจพบเจอได้ว่า แม้ลืมกินยาคุมไปก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้
ความเชื่อ: ถ้ากินยาคุมมานาน จะมีลูกยาก
ความจริง: การมีลูกยากไม่ได้มีสาเหตุมาจากการกินยาคุมกำเนิดค่ะ แต่มาจากเรื่องของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ปกติแล้วการตกไข่จะเกิดขึ้นหลังจากหยุดกินยาคุมไปแล้ว 2 สัปดาห์ โดยประมาณ และประจำเดือนจะมาหลังจากหยุดกินยาคุมไปแล้ว 4-6 สัปดาห์โดยประมาณ
ความเชื่อ: ยาคุมกำเนิด ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100%
ความจริง: ยาคุมกำเนิดหากมีการใช้อย่างถูกต้องจะสามารถป้องกันได้ประมาณ 99.7% แปลว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้ประมาณ 0.03%
ความเชื่อ: หากกินยาคุมแล้วมีอาการคลื่นไส้ แสดงว่าแพ้ยา
ความจริง: บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนคล้ายอาการของคนที่แพ้ท้อง โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มกินแผงแรก อาการนี้ไม่รุนแรงค่ะ เพียงแต่ทานให้ครบแผง ตรงเวลาจนหมดแผง พอถึงแผงถัดไปก็ร่างกายก็จะเริ่มปรับตัวได้ อาการดังกล่าวก็จะหายไป ซึ่งอาการคลื่นไส้ดังกล่าวไม่ใช่อาการแพ้ยา แต่เป็นผลข้างเคียงของการทานยาเท่านั้น
ความเชื่อ: ยาคุมทำให้อ้วนขึ้น
ความจริง: ข้อนี้ขึ้นอยู่กับชนิดยาและแต่ละบุคคล ซึ่งถ้าเป็นคนที่อ้วนง่ายอยู่แล้ว เมื่อทานยาคุมเข้าไปก็จะเห็นผลได้เร็ว แต่ถ้าเป็นคนที่มีรูปร่างผอม ทานยาคุมก็ไม่ได้ทำให้อ้วนขึ้น
ความเชื่อ: กินยาคุมย้อนศร หรือผิดวัน ตั้งครรภ์แน่
ความจริง: สำหรับยาคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ด เราสามารถสลับทานเม็ดไหนก็ได้ เพียงแต่ที่ควรทานเรียงกันก็เพราะว่าเป็นการป้องกันการลืมทาน ยกตัวอย่างเช่น ต้องทานเม็ดที่ 5 แต่กลับไปกินเม็ดที่ 15 ก็ยังได้ค่ะ แล้วพอวันที่ 6 ก็ทานของวันที่ 6 ตามปกติไปจนชนกับวันที่ 15 เพราะยาคุมชนิดนี้จะมีปริมาณยาที่เท่ากันทุกเม็ด
ในขณะที่มียาคุมกำเนิดบางชนิดที่ตัวยาแต่ละตัวไม่เท่ากัน หากมีการกินสลับวัน ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วย
ความเชื่อ: ทานยาคุมทำให้น้ำนมหด
ความจริง: หากคุณแม่ต้องการคุมกำเนิดหลังการคลอด และเริ่มกลับมาทานยาคุมกำเนิดหลังคลอดทันทีอาจมีผลต่อน้ำนมได้ แต่หากคุณแม่ต้องการทานยาคุมกำเนิดจริง ๆ ควรรอประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโประเจสเตอโรนอย่างเดียว ซึ่งจะไม่มีผลต่อปริมาณน้ำนม ที่สำคัญ การทานยาคุมกำเนิดในระยะให้นมก็ไม่มีผลต่อลูกน้อยแต่อย่างใด
ยังมีอีกหลายครอบครัวที่เมื่อแต่งงานแล้ว ยังไม่พร้อมจะมีลูกก็อาศัยการคุมกำเนิดด้วยวิธีการทานยาคุมกำเนิด ซึ่งก่อนการตัดสินใจควรสอบถามรายละเอียดจากเภสัชกรก่อนทุกครั้งนะคะ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะทานยาได้อย่างถูกวิธี และป้องกันการเข้าใจผิดค่ะ
ความจริง: สำหรับยาคุมกำเนิดชนิด 21 เม็ด เราสามารถสลับทานเม็ดไหนก็ได้ เพียงแต่ที่ควรทานเรียงกันก็เพราะว่าเป็นการป้องกันการลืมทาน ยกตัวอย่างเช่น ต้องทานเม็ดที่ 5 แต่กลับไปกินเม็ดที่ 15 ก็ยังได้ค่ะ แล้วพอวันที่ 6 ก็ทานของวันที่ 6 ตามปกติไปจนชนกับวันที่ 15 เพราะยาคุมชนิดนี้จะมีปริมาณยาที่เท่ากันทุกเม็ด
ในขณะที่มียาคุมกำเนิดบางชนิดที่ตัวยาแต่ละตัวไม่เท่ากัน หากมีการกินสลับวัน ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดวิธีอื่น ๆ ร่วมด้วย
ความเชื่อ: ทานยาคุมทำให้น้ำนมหด
ความจริง: หากคุณแม่ต้องการคุมกำเนิดหลังการคลอด และเริ่มกลับมาทานยาคุมกำเนิดหลังคลอดทันทีอาจมีผลต่อน้ำนมได้ แต่หากคุณแม่ต้องการทานยาคุมกำเนิดจริง ๆ ควรรอประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโประเจสเตอโรนอย่างเดียว ซึ่งจะไม่มีผลต่อปริมาณน้ำนม ที่สำคัญ การทานยาคุมกำเนิดในระยะให้นมก็ไม่มีผลต่อลูกน้อยแต่อย่างใด
ยังมีอีกหลายครอบครัวที่เมื่อแต่งงานแล้ว ยังไม่พร้อมจะมีลูกก็อาศัยการคุมกำเนิดด้วยวิธีการทานยาคุมกำเนิด ซึ่งก่อนการตัดสินใจควรสอบถามรายละเอียดจากเภสัชกรก่อนทุกครั้งนะคะ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะทานยาได้อย่างถูกวิธี และป้องกันการเข้าใจผิดค่ะ