หลายครอบครัวพอแต่งงานก็อยากจะมีลูก เพื่อเติมเต็มคำว่า “ครอบครัว” แต่บางครอบครัวพอมีลูกแล้วก็ต้องการให้ลูกเป็นตัวแทนในการทำฝันของคุณพ่อคุณแม่ให้เป็นจริง ซึ่งบางอย่างก็ไม่ใช่ฝันของลูกที่อยากจะเป็นเลย เพราะแต่ละคนต่างมีความฝันต่างกัน ความชอบ หรือไม่ชอบต่างกัน ทำให้ลูกถูกทำร้ายจิตใจจากคนที่เค้ารักมากที่สุด
สารบัญ
กรณีตัวอย่าง…ลูกถูกยัดเยียดความฝันตั้งแต่อยู่ในท้อง
พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูตินรีแพทย์ ระดับนายแพทย์เชี่ยวชาญ หัวหน้าแผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลพิจิตร เคยยกตัวอย่างสามีภรรยาคู่หนึ่ง พอรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีลูก สามีจึงบอกให้ภรรยาไปหาหมอเพื่อความแน่ใจ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าลูกในท้องจะเป็นชายหรือหญิง แต่ฝั่งสามีเชื่ออย่างหนักแน่นเลยว่าต้องเป็นลูกชาย
เรียกได้ว่าตั้งแต่แต่งงานมาสามีบอกอยากได้ลูกชาย เพื่อจะได้ทำฝันที่เค้าทำไม่สำเร็จ นั่นคือ การเป็นทูต
ผลตรวจออกมาสรุปว่าภรรยาท้องจริงๆ ภรรยาดีใจ หัวใจพองโต ไปตรวจอัลตราซาวน์พบว่าท้องได้ 5 สัปดาห์แล้ว จึงรีบโทรไปบอกสามี
คุณหมอให้ยาบำรุงครรภ์มา และอธิบายวิธีการปฏิบัติตัวขณะท้องอย่างละเอียด เพราะว่าที่คุณปม่คนนี้อายุมากแล้วคุณหมอนัดตรวจอีกครั้งใน 2 สัปดาห์ เพราะคุณแม่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลูกเด็กดาวน์ เสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด เบาหวานขึ้น ความดันขึ้น หรือแม้แต่อาการครรภ์เป็นพิษ ความเสี่ยงที่ว่านี้ไม่ได้ขึ้น 100%เพียงแต่มีโอกาสมากกว่าคนทั่วไปที่ท้องตอนอายุยังน้อย
คุณแม่ได้รู้ข้อมูลอย่างนี้แล้ว จึงพยายามดูแลตัวเองอย่างดีโดยเฉพาะ 3 เดือนแรก เมื่อมาหาคุณหมออีกครั้ง จึงอยากรู้ว่าลูกในท้องเป็นชายหรือหญิง คุณหมอจึงตรวจให้ ผลออกมาคือ ได้ลูกชายสมใจ
คุณหมอเงียบไปครู่นึง ก่อนที่จะบอกว่า หมอยังไม่สบายใจนะ เพราะยังไม่รู้เลยว่า ลูกที่อยู่ในท้องจะเป็นดาวน์หรือไม่ เพราะอายุครรภ์ไม่ถึงกำหนดที่จะตรวจได้ ยังไม่อยากให้คาดหวังกับอนาคตมากนัก
…กับคนใกล้ตัวของผู้เขียนเอง
มีอีกหนึ่งครอบครัว ที่สามีเป็นทหาร ภรรยาค้าขายอาหารเป็นร้านเล็กๆ แถวบ้าน มีลูกสาว 2 คน คนโตมีหัวทางด้านหัตถกรรมประดิษฐ์ประดอย ชอบทำสร้อยคอและสร้อยข้อมือ (ทำสวยซะด้วยสิ) ส่วนน้องสาวคนเล็กเป็นเด็กเรียนอ่อน หัวอ่อน เรื่องความสามารถไม่มีอะไรเด่นเลย เรียนและทำตามที่คุณพ่อคุณแม่บอกทุกอย่าง เพราะโตขึ้นมีอาชีพรองรับแล้ว คือ การเป็นทหารหญิง เหมือนคุณพ่อ จึงไม่ต้องดิ้นรนเรื่องเรียน ไม่เคยได้รับรู้เรื่องความผิดหวังจากการสอบแข่งขัน เส้นทางชีวิตตรงและดูเหมือนราบเรียบ
กลับมาลูกสาวคนโต เค้าเป็นคนขยัน ไม่ชอบอยู่นิ่ง เก็บเงินเก่ง มีหัวด้านศิลปหัตถกรรม เป็นคนมีจินตนาการเรื่องศิลปะ คุณแม่สังเกตเห็นเค้าชอบวาดรูป ระบายสี บางครั้งได้มองท้องฟ้า แล้วก็สนุกกับการได้จินตนาการว่าท้องฟ้าเป็นรูปอะไร ตามประสาเด็กๆ คุณแม่พูดกับเค้าว่า “คนมองท้องฟ้า แล้วจินตนาการคือคนบ้า”
คุณแม่ได้ปิดกั้นจินตนาการ ความคิดนอกกรอบ และความฝันของเค้าเรียบร้อยแล้ว เพียงเพราะไม่ต้องการให้ลูกมีหัวทางศิลปะ ซึ่งคุณแม่ไม่ชอบศิลปะ จึงยัดเยียดความไม่ชอบนี้ให้กับลูกด้วย
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำลายชีวิตลูกโดยที่ไม่รู้ตัว
- เติมเต็มความฝันของตัวเองด้วยการเอาความฝันของตัวเองมายัดเยียดให้ลูก อาจจะด้วยความหวังดี (เกินไป) หรืออาจด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ลืมคำนึงไปว่าลูกก็มีความคิด มีความฝัน และมีหัวใจ ยกเว้นว่า…หากลูกมีความฝันเดียวกันกับคุณพ่อคุณแม่แบบนี้ก็ใส่เกียร์ 5 สนับสนุนให้เต็มที่เลยค่ะ
- เปรียบเทียบลูกตัวเองกับพี่น้องของตัวเอง และ/หรือลูกข้างบ้าน
- สร้างแรงกดดันและยัดเยียดแต่วิชาการให้ลูก กลัวลูกเรียนไม่เก่ง ขนาดจะเล่นก็ต้องเล่นเป็นวิชาการ
- แก้ปัญหาให้ลูกเองทุกเรื่อง ทำให้ลูกไม่ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา และวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
- ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกถนัดและชอบ แต่กลับมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
- มีความเชื่อว่าถ้าให้ลูกเข้าโรงเรียนแพง ๆ เพราะเชื่อว่าลูกจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น
- ปลูกฝังความคิด และตีกรอบความคิดให้ลูกว่าอาชีพครู หมอ วิศวะ ตำรวจ และทหารเป็นอาชีพที่ดีที่สุด จะประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่…อย่าลืมนะคะว่ายุคนี้เป็นยุคดิจิทัลแล้ว ยังมีอีกหลายชีพที่สามารถหารายได้ได้ดี และมั่นคงไม่แพ้กัน บางรายประสบความสำเร็จก่อนที่จะเรียนจบด้วยซ้ำ
หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่คือ?
ความรักของคุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริงและถูกต้อง คือ ค้นหาศักยภาพของลูกให้เจอ แล้วสนับสนุนเค้าในสิ่งที่เค้าชอบ อยากทำ และอยากเป็น ช่วยหาแรงบันดาลใจ ให้กำลังใจลูก สุดท้ายเมื่อลูกมีความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็ย่อมมีความสุขไปด้วย
ปัจจุบันนี้ มีเด็กหลายคนที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำอะไร ชอบอะไร หรืออยากเป็นอะไร เพราะฉะนั้นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่คือ
พยายามให้ลูกได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ตามที่เค้าต้องการให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นพื้นฐานและเป็นข้อมูลให้เค้าได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง
ไม่ควรห้าม หรือปิดกั้นความฝันของลูก แต่ควรยอมรับความชอบที่แตกต่าง ยอมรับในความคิดเค้า ให้เค้าได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
ยอมรับในความต้องการของลูก เช่น หากลูกต้องการเรียนพิเศษเอง ไม่มีใครบังคับ ก็ควรปล่อยให้เค้าได้เรียน คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งสับสนกับการเข้มงวดเรื่องเรียนนะคะ เพราะถ้าหากเค้าอยากเรียนโดยสมัครใจเองควรปล่อยเค้า เราแค่สนับสนุนพอ
เพราะบางครอบครัวคาดหวังว่าอยากให้ลูกเรียนเปียโน เรียนว่ายน้ำ หรืออื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการ แต่อย่าลืมนะคะ ถ้าเค้าทำแล้วมีความสุขก็ควรปล่อยให้เค้าได้ทำ
เด็กที่ถูกเลี้ยงดูภายใต้ความหวังที่สูงของคุณพ่อคุณแม่ และภายใต้แรงกดดันในทุกด้าน จะส่งผลเสียต่อจิตใจเด็กได้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม “พ่อแม่ที่กำหนดชีวิตลูก คาดหวังในตัวลูก กดดันลูกมากไป ระวังต้องพาลูกพบจิตแพทย์”