ส่วนตัวโน้ตเองน่ะ เชื่อ 100% เลยค่ะว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมรักลูกของตัวเอง แต่ด้วยความที่เลี้ยงดูเขา อยู่กับเขาทุกวันจนบางครั้ง “ความเคยชิน” อาจทำให้เราลืมคิดไปว่าสิ่งที่เราทำอยู่ในทุก ๆ วันนั้นจะส่งผลเสียต่อลูกได้ในอนาคต วันนี้โน้ตจะชวนคุณพ่อคุณแม่มานั่งพักกันสักแป๊บหนึ่ง นั่งนิ่ง ๆ แล้วทบทวนดูว่าเราเผลอทำอะไรที่ไม่น่ารักกับลูกไปบ้าง
Youtube : 8 นิสัยไม่น่ารักของพ่อแม่ที่ไม่ควรทำกับลูก
สารบัญ
8 นิสัยไม่น่ารักของพ่อแม่ที่ไม่ควรทำกับลูก
ทำงานจนลืมแบ่งเวลาให้ลูก
จริงอยู่ การมีลูกต้องใช้เงินเยอะ การทำงานเป็นทางเดียวที่จะได้มาซึ่ง “เงิน” แต่การทุ่มแทเวลาให้กับงานมากเกินไป จนละเลยที่จะแบ่งเวลาให้ลูกและครอบครัว เป็นสิ่งที่หลายคนคิดผิดถนัด เพราะการที่จะมีครอบครัวที่อบอุ่น มีลูกที่ดีและน่ารักได้นั้น ไม่ได้สามารถได้มาด้วยเงิน แต่ได้มาด้วย “ความรัก การใส่ใจ การให้เวลากับลูก” ค่ะ มีหลายครอบครัวที่ต้องพังลงเพราะสายสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวไม่หนาแน่นพอ
คิดและตัดสินใจแทนลูกทุกเรื่อง
เพราะความรัก ความหวังดี หรือจะความห่วงใยก็ตาม ทั้งหมดนี้ทำให้คุณพ่อคุณแม่มักคิดและตัดสินใจแทนลูกไปซะหมด แม้เด็กบางคนเต็มใจที่จะให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจให้ก็ตาม แต่อย่าลืมว่าเราสามารถฝึกเขาได้ค่ะ เพราะการที่คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจแทนลูกในทุกเรื่องนั้นจะส่งผลให้ลูกไม่ได้ฝึกการคิดวิเคราะห์เลย นอกจากนี้จะทำให้ลูกเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก และไม่กล้าตัดสินใจ
เอาความฝันตัวเองยัดเยียดให้ลูก
เมื่อสมัยที่คุณพ่อคุณแม่ยังเด็กเคยฝันว่าอยากเป็นอาชีพนั้น อยากทำอาชีพนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ อาจเพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง พอมีลูกก็อยากเห็นลูกของตัวเองได้ทำในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เคยฝันไว้ ซึ่งไม่เคยถามลูกสักคำว่า “หนูอยากทำอะไร?”
คาดหวังจากลูกมากเกินไป
ต้องบอกว่าบางครอบครัวแอบคาดหวังในตัวลูกมากจนบางครั้ง มากเสียจนไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าเราได้กดดันอะไรลูกไปบ้าง แต่ที่สำคัญ กดดันตัวเองด้วยนะคะ พอลูกทำไม่ได้อย่างที่เราหวัง คุณพ่อคุณแม่บางคนก็ดุด่า ลงโทษเสียยกใหญ่ สุดท้ายแล้วต้องมาเครียดและเสียใจกันทุกฝ่าย
ไม่ได้รับฟังความต้องการของลูกจริง ๆ
อย่างที่โน้ตบอกค่ะว่า เพราะ “ความเคยชิน” ความที่เราได้ยินเสียงลูกพูดอยู่ทุกวัน จึงทำให้เราไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่ลูกอยากถ่ายทอดให้เราฟังอย่างจริงจัง ไม่ได้เปิดใจ หรือทำความเข้าใจในความคิดของลูกเลยแม้แต่น้อย แต่เชื่อไหมคะว่าลูกรับรู้ได้นะว่าเราตั้งใจฟังเขาหรือไม่ฟังเขาแค่ไหน?
ปกป้องลูกมากเกินไป
ข้อนี้เพราะ “ความกลัว” ของคุณพ่อคุณแม่ กลัวว่าลูกจะเสียใจ กลัวว่าลูกจะผิดหวัง กลัวว่าลูกจะเจ็บปวด ไม่อยากเห็นลูกร้องไห้ จึงออกมาปกป้องลูกในทุกเรื่อง ซึ่งจริง ๆ แล้วการปกป้องลูกควรมีขอบเขต ไม่อย่างนั้นลูกจะไม่ได้มีโอกาสได้เรียนรู้อะไร ลูกจะไม่ได้ฝึกคิดในเรื่องการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็น
บางครอบครัวสอนลูกจริงค่ะ แต่การสอนมาจาก “การพูดอย่างเดียว” ไม่เคยแม้กระทั่งจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก การเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกในความหมายของโน้ตคือ ไม่ใช่แค่ทำเฉพาะตอนที่ลูกอยู่ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้เป็นนิสัย ถึงแม้ว่า ณ เวลานั้นลูกจะไม่ได้เห็นเราทำก็ตาม
ทำทุกอย่างให้ลูก
คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่ก็พยายามจะฝึกให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองแหละค่ะ แต่เมื่อเจอหน้า เจอทีท่าของลูก บวกกับสายตาที่อ้อนวอนของลูกก็ใจอ่อน แต่ก็มีอีกบางครอบครัวที่เต็มใจทำทุกอย่างให้ลูกจริง ๆ ซึ่งแบบนี้เข้าข่าย “พ่อแม่รังแกฉัน” เต็ม ๆ
ในบทความนี้โน้ตขอใช้คำว่า “เผลอ” สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีนิสัยทั้ง 8 ข้อตามที่เกล่าวมาแล้วกันนะคะ เพราะโน้ตเชื่อค่ะว่าคงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่อยากเป็นพ่อแม่รังแกฉันหรอก เพียงแต่ว่าเราต้อง “ตั้งสติ” ก่อนที่จะสตาร์ททำอะไรให้ลูก หรือจะสอนอะไรลูก แบบนี้ก็น่าจะช่วยเกลาความเผลอออกได้บ้างเนอะ ไม่มากก็น้อย