สอนลูกอย่างไรให้ยอมรับความแตกต่าง

การเลี้ยงลูกวัย 3-5 ขวบ

เมื่อลูกเราคืออีกหนึ่งชีวิตที่ต้องเติบโตขึ้นท่ามกลางผู้คนที่ทั้งมีดีและไม่ดีปะปนกัน แต่…ด้วยความที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจึงไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เพียงลำพัง ในขณะที่มนุษย์มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา และความคิด จากที่ผ่านมาคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน อาจเคยเห็นการบูลลี่กันในสังคม ซึ่งโน้ตเชื่อว่าคงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนอยากให้ลูกถูกบูลลี่ และไม่อยากให้ลูกตัวเองต้องไปบูลลี่ใคร แล้วคุณพ่อคุณแม่จะสอนลูกอย่างไรให้ยอมรับความแตกต่างที่มีอยู่ในสังคมได้อย่างเต็มใจ และมีความสุข วันนี้เราจะมาพูดคุยเรื่องนี้กันค่ะ

สอนลูกอย่างไรให้ยอมรับความแตกต่าง

การสอนลูกให้ยอมรับความแตกต่างในสังคม สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ค่ะ

อ่านหนังสือนิทาน

การอ่านหนังสือนิทานเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ดีที่จะช่วยให้ลูกได้เห็นภาพและเข้าใจได้ในความแตกต่างของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ โดยที่คุณ่พอคุณแม่อาจหาหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความแตกต่างมาอ่านให้ลูกฟัง อาทิ ความแตกต่างทางเชื้อชาติ ทางวัฒนธรรม หรือแม้แต่ความแตกต่างด้านการแสดงออกทางเพศ ซึ่งเมื่อคุณพ่อคุณแม่ทำเป็นประจำ ลูกก็จะค่อย ๆ ซึมซับและทำความเข้าใจได้เองในเรื่องของความแตกต่างค่ะ

สอนให้ลูกเอาใจเขามาใส่ใจเรา

หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือ การสอนให้ลูกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนั่นเองค่ะ อาจเป็นการสอนที่สอดแทรกจากการดูข่าวด้วยกันก็ได้ค่ะ เช่น จากเหตุการณ์ในทีวีที่เราเห็นนี้ หากเป็นหนู หนูจะทำอย่างไรคะ รวมไปถึงการสอนให้ลูกเห็นคุณค่าของคนอื่น เช่น ถ้าเราเห็นเด็กนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว เราก็สามารถเข้าไปนั่งด้วย เพื่อที่เขาจะได้ไม่เหงา เป็นต้น

ทลายกำแพงภาษาลง

ภาษา” นับเป็นประตูบานแรกที่จะทำให้เราได้รู้จักเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลกและมีเพื่อนมากขึ้น ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกได้เรียนรู้ว่าในโลกนี้เรามีภาษาที่กำหนดใช้ที่แตกต่างกันไปตามแต่ละทวีป อาจเริ่มสอนลูกง่าย ๆ ก่อนว่าเฉพาะในไทยเราก็มีสำเนียงและคำศัพท์ที่ใช้ในการสื่อสารที่ต่างกัน เป็นต้น หรือหากลูกมีเพื่อนที่เป็นต่างชาติ แม้ว่าลูกจะยังไม่สามารถพูดภาษาของเพื่อนคนนั้นได้ แต่เราก็ยังมีการสื่อสารในทางอื่น ๆ ได้อีก เช่น ภาษาท่าทาง หรือการวาดรูปสื่อความหมาย เป็นต้น

เป็นต้นแบบที่ดีให้ลูก

ลูกมักเลียนแบบพฤติกรรมและความคิดของพ่อแม่” คำนี้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าเมื่อลูกโตเขาอาจมีความคิดบางส่วนที่เป็นของตัวเอง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วลูกจะมีความคิดและพฤติกรรมค่อนไปทางคุณพ่อคุณแม่มากกว่า

การเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูก เช่น เราจะไม่เรียกใครจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เขาเป็น เช่น อ้วน เตี้ย ดำ ฯลฯ เหล่านี้เป็นการเรียกที่ไปทางลบ และไม่ควรขบขันหรือชี้ชวนให้ลูกดูคนเดินขากะเพลก รวมไปถึงการปลูกฝังค่านิยมผิด ๆ ให้กับลูก เช่น ผิวขาวน่ารักกว่าผิวดำ แต่ให้เน้นเรื่องของนิสัย และการเป็นคนดีมากกว่า

ให้ลูกทำกิจกรรมกับเด็กคนอื่น

คุณพ่อคุณแม่ควรสร้างโอกาสให้ลูกได้ทำกิจกรรมหรือเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะลูกจะได้สัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริง และลูกก็จะได้เรียนรู้ในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมอื่น ๆ ที่นอกเหนืองจากครอบครัว ที่สำคัญเป็นการปลูกฝัง SQ (Social Quotient) หรือความฉลาดในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ

พูดคุยในเรื่องความแตกต่าง

คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยเกี่ยวกับความแตกต่างให้ลูกฟัง ไม่ว่าจะเป็นด้านเพศ เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี สอนให้ลูกได้เข้าใจและเปิดใจยอมรับกับเรื่องความแตกต่างเหล่านี้

ให้กำลังใจลูก หากถูกบูลลี่

ในกรณีที่ลูกถูกบูลลี่ คุณพ่อคุณแม่ควรอยู่ข้าง ๆ ลูก ให้กำลังใจลูก พร้อมกับอธิบายให้ลูกฟังว่า เพื่อนของหนู ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนหนูทุกเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้ก็คือ หนึ่งในความแตกต่างด้านความคิดเช่นกัน หากเพื่อนยังมาบูลลี่ลูกให้แจ้งครูประจำชั้น และให้บอกคุณพ่อคุณแม่ด้วย ซึ่งถ้าหากแจ้งครูประจำชั้นแล้ว เพื่อนยังไม่หยุดบูลลี่ ให้คุณพ่อคุณแม่เข้าคุยกับครูประจำชั้นร่วมกับผู้ปกครองของเพื่อนคนนั้น เพื่อหาทางออกร่วมกันค่ะ

ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนมีความแตกต่าง ไม่ว่าจะแตกต่างกันด้วยลักษณะภายนอกหรือภายใน (ความคิด ความเชื่อต่าง ๆ) แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตให้มีความสุขได้ในสังคม นั่นคือ “การยอมรับความแตกต่างให้ได้” โดยมีพื้นฐานมาจากการปลูกฝังของครอบครัวเป็นสำคัญค่ะ

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP