การเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลนับเป็นก้าวแรกที่เด็กจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในสถานที่ใหม่ การต้องเจอกับคนใหม่ๆ ต้องเรียนรู้เรื่องระเบียบวินัย และความรับผิดชอบต่างๆ ลูกจะได้เรียนและได้เล่นอย่างเหมาะสมหวังว่าลูกคงจะมีความสุข ความสนุกกับสิ่งใหม่ๆ ที่เจอ
…แต่ความเป็นจริง หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้ว เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในแต่ละวันลูกเราต้องเจออะไรบ้าง จะรู้อีกทีก็มีรอยฟกช้ำดำเขียวตรงนั้นที ตรงนี้ที มีรอยถลอกขีดข่วนกลับมา ในมุมนึงคุณครูเองก็คงไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่เองที่จะเป็นส่วนสำคัญในการที่สอนลูกว่าควรทำอย่างไรเมื่อโดนเพื่อนมาแกล้ง และคุณพ่อคุณแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกโดนเพื่อนแกล้งหรือเปล่า วันนี้ผู้เขียนมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากค่ะ
สารบัญ
เมื่อลูกโดนแกล้งในวัยอนุบาล
เด็กที่จะถูกกลั่นแกล้งโดยมากมักจะมีบุคลิกที่ดูแล้วเป็นจุดอ่อน เช่น ไม่มีความมั่นใจในตนเอง อ้วนเกินไป พูดจาติดอ่าง หรือเรียนอ่อน เป็นต้น เด็กกลุ่มนี้ก็จะถูกนินทา พูดนินทา (แบบให้ได้ยิน) หรือบางคนอาจใช้คำพูด “เราไม่ให้นั่งตรงนี้” บางคนอาจถูกตี หรือเตะเลยก็มี
ซึ่งพฤติกรรมของเด็กที่ชอบแกล้งเพื่อนเหล่านี้ มักจะจำมาจากสิ่งที่เค้าเห็นหรือได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นทีวี youtube หรือแม้แต่พฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่เอง
วิธีสังเกตว่าลูกถูกเพื่อนแกล้งหรือไม่
คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตพฤติกรรมของลูกมั้ยคะว่า ก่อนไปโรงเรียนกับหลังกลับจากโรงเรียนเค้ามีพฤติกรรมอย่างไร หรือหากถามแล้วเค้ายังไม่ยอมเล่าให้ฟัง ให้สังเกตจากอาการดังต่อไปนี้ค่ะ
- ซึมเศร้า
- ไม่อยากไปโรงเรียน
- กลับมาหิวโซ
- ของหายบ่อยๆ
- เสื้อผ้าขาด
- มีรอยถลอด หรือฟกช้ำดำเขียวบ่อยๆ
- ปวดท้อง
- ฝันร้าย
- ฉี่รดที่นอน
…หากมีอาการดังกล่าว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนค่ะว่าลูกอาจถูกเพื่อนแกล้งจริงๆ
เมื่อลูกถูกเพื่อนแกล้งหลายคนก็สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ในขณะที่อีกหลายคนยอมจำนนทนให้เพื่อนแกล้งต่อไป ไม่กล้าบอกคุณครู หรือคุณพ่อคุณแม่ เพราะกลัวว่าเวลาโรงเรียนจะโดนแกล้งซ้ำ ทำให้ชีวิตในรั้วโรงเรียนไม่มีความสุข พอโดนแกล้งนานๆ เข้า เริ่มทนไม่ได้บันดาลโทสะ จึงแสดงออกโดยการตอบโต้กันแรงๆ ถึงขั้นเลือดตกยางออกกันเลยก็มี
โน้ตจะใช้วิธีนี้ควบคู่กันไปค่ะ คือ หลังจากที่รับลูกกลับจากโรงเรียนให้สอบถามลูกว่า “วันนี้เรียนอะไร? สนุกไหม?” แล้วให้ลูกเล่าเรื่องเอง แล้วตบท้ายด้วยคำถามที่ว่า “วันนี้มีเพื่อนแกล้งหนูไหมคะ? แล้วหนูไปแกล้งอะไรเพื่อนหรือเปล่า?” แม้ว่าลูกจะไม่มีใครมาแกล้ง แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ลูกไปแกล้งใครด้วยนะคะ
รูปแบบของการแกล้ง
ทำร้ายจิตใจ
- จากคำพูด : ไม่ว่าจะเป็นคำพูดแรง ๆ บ้าง หยาบคายบ้าง หรืออาจจะสุภาพบ้าง ขึ้นอยู่กับพื้นฐานการเลี้ยงดูจากครอบครัวของเด็กคนนั้น
- จากการแสดงกิริยา : เช่น อาจทำท่ารังเกียจ กลั่นแกล้งให้อับอายจนถูกเพื่อนคนอื่นหัวเราะเยาะใส่ รวมถึงการนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปล้อ ทำให้เกิดความอับอาย
แสดงออกว่ามีอำนาจเหนือกว่า
เช่น ฉันเป็นคนเรียนเก่ง หน้าตาดี เพื่อน ๆ ชื่นชมและให้การยอมรับ ดังนั้น ก็มักจะใช้ให้เพื่อนคนอื่น ๆ ไปซื้อของให้ ถือกระเป๋าให้ รวมถึงใช้ให้ว่าหรือแกล้งเพื่อนคนอื่นที่ตัวเองไม่ชอบ
ทำร้ายร่างกาย
ข้อนี้เลวร้ายและรุนแรงที่สุด บางรายถึงขั้นเลือดตกยางออก คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นสังเกตร่างกายของลูกด้วยนะคะ
มีการข่มขู่
ไม่ว่าจะเป็นด้วยกิริยาท่าทางที่วางอำนาจ หรืออวดตัวเองว่า ฉันมีอำนาจที่จะสามารถทำร้ายเพื่อน ๆ ได้ เป็นต้น
บอกเพื่อนคนอื่นให้คว่ำบาตร
ข้อนี้เข้าข่ายเป็นมาเฟียเล็กน้อย สามารถสั่งคนอื่นให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ถ้าหากฉันเจอใครที่ไม่ถูกใจหรือไม่ชอบหน้า
วิธีรับมือเมื่อลูกโดนเพื่อนแกล้ง
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบเรื่องควรช่วยลูกหาทางออกด้วยการ…
สอบถามข้อมูลจากลูกให้แน่ชัด
อันดับแรก คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตำหนิติเตียนลูก หรือแสดงอารมณ์ขุ่นเคือง ไม่พอใจที่ลูกอ่อนแอ ยอมให้เพื่อนรังแก แต่ควรตั้งสติ ซักถามด้วยความเข้าใจ เพราะความสัมพันธ์ที่ดี
แจ้งครูหรือทางโรงเรียนให้ทราบเรื่อง
เพื่อครูและโรงเรียนทราบถึงปัญหา และแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและตรงจุด ไม่ควรปล่อยให้เด็กไปรังแกเพื่อนคนอื่นอีก หากมองเป็นในระยะยาวควรแจ้งครูและโรงเรียนเพื่อวางมาตรการป้องกันเด็กที่ชอบรังแกกันในโรงเรียน
สอนทักษะให้ลูกในด้านต่างๆ
เพื่อช่วยให้ลูกสามารถรับมือกับการถูกแกล้ง เช่น รู้จักปฏิเสธ ฝึกให้มีบุคลิกที่มีความเชื่อมั่น รู้จักพูดตอบโต้อย่างมีศิลปะ ทักษะการป้องกันตัว หรือฝึกให้เลี่ยงปัญหาอย่างฉลาด เช่น การไม่อยู่คนเดียว ให้เดินเลี่ยง ไม่แข็งขืนหากผู้ที่เข้ามารังแกมีร่างกายที่แข็งแรงหรือตัวใหญ่กว่า
คุณพ่อคุณแม่ควรมีวิธีพูดที่ดี ในการที่จะให้ลูกละจากความกลัว
เพื่อให้ลูกได้รู้สึกเข้มแข็ง มีแรงฮึด พร้อมที่ละลุกขึ้นปกป้องตัวเอง
ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรตั้งใจฟังเวลาที่ลูกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง อย่าเพิ่งด่วนสรุปเหตุการณ์และดุด่าลูก ไม่เช่นนั้นครั้งต่อไปลูกจะไม่กล้าเล่าอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ฟังอีกเลย เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรใจเย็น ๆ และค่อย ๆ หาวิธีสอนเค้าในเรื่องการป้องกันตัวเองตามข้างต้นนะคะ และหมั่นให้กำลังใจลูกอยู่เสมอ เค้าก็จะเป็นเด็กที่เข้มแข็งขึ้นในไม่ช้าค่ะ