ทำไมห้ามอมข้าว ส่งผลให้ฟันผุจริงหรือ?

การเลี้ยงลูกวัย 3-5 ขวบ

“เคี้ยวข้าวสิลูกกก”
“ไม่อมข้าวนะคะ”

…และอีกหลาย ๆ ประโยคของคุณแม่ที่พยายามจะให้ลูกเคี้ยวข้าว ไม่อมข้าว เพราะกลัวว่าลูกจะฟันผุ คุณแม่บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมห้ามอมข้าว ทำให้ฟันผุจริงหรือ? เพราะอะไร? ไปดูกันค่ะ

ห้ามอมข้าว

การที่เด็กอมข้าวเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกฟันผุได้ เพราะข้าวจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตที่เมื่อย่อยสลายแล้วก็จะกลายเป็นน้ำตาล
โดยปกติแล้วคนเราจะมีฟัน 2 ชุด คือ ฟันน้ำนม และฟันแท้ ซึ่งฟันน้ำนมของเด็กจะถูกใช้งานเป็นระยะเวลาทีไม่น้อยกว่า 5 ปี หลังจากนั้นจะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่เมื่ออายุราว ๆ 12 ปี
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เป็นกังวลมากที่สุดก็คือ การที่ฟันน้ำนมผุก่อนที่ฟันแท้จะขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นฟันน้ำนมหรือฟันแท้ สาเหตุของฟันผุส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีสาเหตุมาจากการดูแลอนามัยในช่องปากนั่นเอง

ลูกอมข้าว ฟันผุได้อย่างไร?

ปกติแล้วในช่องปากของคนเราจะมีเชื้อโรคตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “เชื้อสเตรปโตค็อกคัส” ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ฟันผุ เนื่องจากเชื้อตัวนี้จะใช้ “น้ำตาล” เป็นตัวตั้งต้นในการสร้างความเจริญเติบโต
ดังนั้น เมื่อลูกน้อยอมข้าวหรือกินของหวานที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล เชื้อตัวนี้จะชอบมากเพราะเสมือนมีอาหารดี ๆ เข้ามาหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต จนมันมีพละกำลังมากพอที่จะกัดกร่อนเคลือบฟัน ไปจนถึงเนื้อฟัน และรากฟันของลูกน้อยได้
ทั้งหมดทั้งมวลแล้วไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่หากมีการกินแป้ง กินขนม หรือของหวานต่าง ๆ ส่งผลให้มีน้ำตาลในช่องปาก ก็ควรที่จะ

  • ดื่มน้ำเปล่าสะอาดตามไปเพื่อเป็นการล้างปากได้ระดับหนึ่ง
  • แปรงฟันหลังกินอาหารทุกครั้ง โดยเฉพาะก่อนนอน

สาเหตุของการเกิดฟันผุ

สาเหตุของการเกิดฟันผุมีได้หลายสาเหตุ ดังนี้

  • ลูกอมข้าว
  • ลูกไม่ได้รับการดูแลสุขภาพในช่องปากที่ดี
  • ชอบกินขนมจำพวกแป้ง น้ำตาลในปริมาณมาก ๆ อย่างต่อเนื่อง

น้ำลายไม่สามารถทำให้ค่า Ph กลับมาเป็นกลางได้ ซึ่งทำให้ในช่องปากมีสภาพความเป็นกรดอยู่ตลอดเวลา แคลเซียมและฟอสเฟตก็จะละลายออกจากฟันทำให้เกิดภาวะฟันผุได้ ยิ่งถ้าหากมีคราบจุลินทรีย์เกาะตัวกันหนามากขึ้นยิ่งจะส่งให้ฟันผุเร็วมากขึ้นนั่นเอง

4 วิธีในการดูแลฟันลูกน้อยให้แข็งแรง

ดูแลเรื่องโภชนาการที่ดี

ต้นน้ำดี ปลายน้ำก็จะดีตามไปด้วยฉันใด ถ้าคุณแม่ดูแลเรื่องโภชนาการที่ดีให้ลูก ฟันลูกก็จะดีด้วยฉันนั้น

ควรฝึกให้ลูกดื่มน้ำจากแก้ว ฝึกให้เร็วที่สุด ซึ่งสามารถเริ่มได้ทันทีที่ฟันซี่แรกของลูกขึ้น เพราะการใช้ขวดนมยิ่งจะทำให้เกิดการเกาะของครายแบคทีเรียที่ฟันลูกได้ และที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้ลูกหลับคาขวดนมเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงการให้ลูกขนมหวาน ๆ บ่อย ๆ
เมื่อลูกหย่านมคุณแม่ควรเตรียมอาหารเสริมที่มีความหลากหลายให้ลูก โดยเน้นให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อเป็นการฝึกให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องการเคี้ยว โดยที่อาหารนั้น ๆ ควรเป็นรสชาติจากธรรมชาติไม่ผ่านการปรุงใด ๆ เพื่อเป็นการดูแลฟันขั้นพื้นฐานที่ดี

เริ่มการแปรงฟันให้เร็ว

แม้เป็นทารก คุณแม่ก็สามารถสอนลูกเรื่องการแปรงฟันได้ค่ะ โดยที่ลูกยังเป็นทารกอยู่นั้น หลังกินนมทุกครั้ง คุณแม่ควรใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นต้มสุกเช็ดภายในปาก และควรฝึกลูกให้คุ้นชินกับการแปรงฟันตั้งแต่ฟันซี่แรก

แม่โน้ต

การเช็ดทำความสะอาดในช่องปากของทารก คุณแม่สามารถใช้ผ้าอ้อมสะอาดชุบน้ำอุ่นสะอาด พันนิ้วชี้แล้วกวาดให้ทั่วทั้งเหงือกและกระพุ้งแก้มนะคะ เพื่อลดการเกิดเชื้อราในช่องปากลูกค่ะ

เมื่อลูกอายุได้ 6 – 7 เดือน ควรมีการนวดเหงือกลูกด้วยแปรงชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับนวดเหงือกโดยเฉพาะ และควรทำอย่างเบามือนะคะ

เลือกยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์

ฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุที่มีหน้าที่ในการเคลือบฟัน ทำให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุ ซึ่งแร่ธาตุนี้เองเป็นส่วนผสมหลักในยาสีฟันแทบทุกชนิด ทุกยี่ห้อ ทันตแพทย์เองจะทำการเคลือบฟันให้กับเด็ก ๆ เพื่อป้องกันฟันผุ โดยที่ฟลูออไรด์อาจมาในรูปของหยดน้ำ หรือเม็ดฟลูออไรด์ ซึ่งก่อนใช้ฟลูออไรด์นี้ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนทุกครั้ง

พบทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากทันตแพทย์จะเป็นผู้ที่ดูแลทั้งในเรื่องสุขภาพฟันและสุขภาพช่องปากของลูกน้อยให้มีฟันที่แข็งแรงและขึ้นถูกตำแหน่ง ซึ่งเด็ก ๆ ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันอย่างน้อย 3 – 6 เดือนครั้งนะคะ

การดูแลฟันให้แข็งแรง และมีสุขภาพในช่องปากที่ดีเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ว่าลูกจะมีฟันน้ำนมอยู่หรือมีฟันแท้ขึ้นแล้วก็ตาม การฝึกให้ลูกเคี้ยวข้าว การไม่อมข้าวจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องพื้นฐานที่ลูกควรได้รับการฝึกที่ถูกต้อง เพื่อสุขภาพฟันที่แข็งแรงและสุขภาพช่องปากที่ดีนะคะ

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP