การกระโดด มีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร พร้อมกิจกรรมเพิ่มความสูงให้ลูก

การเลี้ยงลูกวัย 6 ขวบขึ้นไป
JESSIE MUM

การกระโดด” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับลูกน้อยได้ค่ะ นอกจากความแข็งแรงด้านร่างกายแล้ว ลูกจะรู้สึกสนุก เพลิดเพลินไปด้วยเพราะเขาจะรู้สึกว่าเขาได้เล่น วันนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์ของการกระโดดกันค่ะว่า เพราะอะไรคุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกกระโดด และมีกิจกรรมอะไรที่บ้างที่กระโดดแล้วเพิ่มความสูงให้ลูกได้

ความสำคัญของ “การกระโดด”

การกระโดด เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างความสนุก และความเพลิดเพลินให้กับลูกน้อยได้ และด้วยความเพลิดเพลินนี้เอง ลูกจึงได้ความแข็งแรงของร่างกายโดยที่ไม่รู้ตัว เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่า เพราะอะไร “การกระโดด” จึงมีความสำคัญต่อเด็ก

  • เหมาะกับเด็กที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย หรือเด็กที่ไม่ค่อยได้มีเวลาว่างไปเล่นกีฬาอื่น ๆ
  • ลูกได้ความแข็งแรงโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะด้วยความสนุกและความเพลินเพลินจึงทำให้ลูกกระโดดได้นานอย่างสนุกสนาน
  • ขณะที่เด็ก ๆ กระโดด เขาจะได้เรียนรู้วิธีการควบคุมการเคลื่อนไหวและการจัดระเบียบของร่างกายของตัวเอง
  • ช่วยเสริมบุคลิกที่ดีให้กับลูก รวมถึงช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตของลูกน้อยต่อไป

พัฒนาการการกะโดดเริ่มเมื่อใด

ปกติแล้ว เด็กที่เริ่มเดินได้เขาก็จะเริ่มปีนป่าย ขึ้นลงเฟอร์นิเจอร์ เดินขึ้น-ลงบันได นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกของคุณแม่เริ่มที่จะกระโดดแล้วค่ะ โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มในช่วงอายุ 16 – 18 เดือน โดยประมาณ ซึ่งสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำก็คือ

ไม่หงุดหงิด หากลูกยังไม่กระโดด

หากลูกของคุณพ่อคุณแม่มีอายุได้ 3 ขวบ หรือ 3 ขวบครึ่ง แล้วเขายังไม่มีทีท่าจะกระโดด คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกดดันตัวเองนะคะ ไม่ต้องกังวลหรือเครียดไป เพราะเด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาการที่แตกต่างกันค่ะ

ไม่เร่งรัด บังคับให้ลูกกระโดดก่อนถึงเวลา

เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนต่างกัน การเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนก็ต่างกัน ความพร้อมในการจะเริ่มทำกิจกรรมอะไรก็ต่างกัน การบังคับให้ลูกกระโดดในขณะที่ลูกยังไม่พร้อม อาจส่งผลให้ลูกเกิดอาการบาดเจ็บได้

เทคนิคการเพิ่มความสูง

การเพิ่มความสูงนอกจากจะออกกำลังและอาศัยการกระโดดแล้ว ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำควบคู่กันไปด้วยได้ ดังนี้ค่ะ

ดูแลเรื่องโภชนาการที่เหมาะสมให้ลูก

หลัก ๆ ก็จะเน้นในเรื่องการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ต่อวัน และควรเน้นอาหารที่สารอาหารจำพวก แร่ธาตุ วิตามิน โปรตีน และน้ำสะอาดให้มากสักหน่อย เนื่องจากมีวิตามินหลาย ๆ ตัวที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความสูง ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี12 และวิตามินดี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกันด้วย เช่น แคลเซียมและฟลูออไรด์ ที่มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรงไม่เปราะง่าย

ดื่มนมทุกวัน

ควรดื่มนมทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 แก้ว หลังอาหารเช้า – เย็น แต่สำหรับเด็กที่แพ้โปรตีนจากนมวัว อาจจะหันมาให้ลูกดื่มนมอัลมอนด์แทนก็ได้ค่ะ เพราะในปัจจุบันนมอัลมอนด์ก็มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างแคลเซียม และวิตามินต่าง ๆ เพียบ

นอนหลับให้เพียงพอ

การนอนหลับให้เพียงพอควรนอนให้ได้วันละ 7 – 8 ชั่วโมง และที่สำคัญควรเข้านอนเป็นเวลาให้เหมือนกันทุกวัน เนื่องจากในร่างกายของเรามีฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสูงหรือที่เรียกว่า โกรธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) อยู่ ซึ่งจะหลั่งออกมาช่วงเที่ยงคืน – ตี 1 แต่ต้องมีข้อแม้ว่า ร่างกายจะต้องหลับลึกไปแล้ว 1 ชั่วโมง ซึ่งจากผลงานการวิจัยหลาย ๆ ชิ้นระบุว่า โดยทั่วไปร่างกายคนเราจะหลับลึกก็คือ ผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนวณเวลาในการเข้านอนลูกให้ดีนะคะ

งดเครื่องดื่มน้ำอัดลม และแอลกอฮอล์

การงดเครื่องดื่มที่อัดแก๊ส น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์จะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกสูงขึ้นได้ค่ะ หรือถ้างดไม่ได้ก็พยายามดื่มให้ได้น้อยที่สุด

กระโดดเชือก

ควรกระโดดเชือกให้ได้ทุกวัน วันละ 30 นาที และควรให้ได้ 600 ครั้ง ในช่วงแรกของการกระโดดเชือก อาจแบ่งเป็นเป็นช่วง ๆ ก็ได้ค่ะ แต่ต้องทำให้ครบ 30 นาที ถึงจะได้ผล ไม่นับรวมเวลาที่พักนะคะ

กระโดดสูง

การกระโดดสูง อาจเป็นการกระโดดเล่นจากพื้นหรือแทรมโพลีนก็ได้ค่ะ โดยการกระโดดให้แบ่งออกเป็นเซท เซทละ 10 นาที โดยทำซ้ำที่มากกว่า 5 เซท ขึ้นไป

การกระโดดนับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกน้อยมีความแข็งแรงและสามารถเพิ่มความให้ได้ เพียงแต่ต้องกระโดดอย่างถูกวิธี หากลูกยังไม่พร้อมก็ไม่ควรเร่งรัดนะคะ เพราะผลที่ได้จะมีแต่เสียกับเสีย

อ้างอิง fitnesskid.com, blastentertainment.com.au

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP