ลูกใจดี หรือ ปฏิเสธไม่เป็น พร้อมวิธีสอนลูกให้รู้จักการปฏิเสธ

การเลี้ยงลูกวัย 6 ขวบขึ้นไป

การสอนให้ลูกรู้จักมีน้ำใจ ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่การสอนลูกด้านนี้ด้านเดียวยังไม่พอค่ะ เพราะลูกจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข เพราะจะรู้สึกผิดมากหากเขาปฏิเสธที่จะช่วยเหลือใครคนใดคนหนึ่งไป “การปฏิเสธ” ไม่ได้แปลว่าเราจะเป็นคนไม่มีน้ำใจ เพียงแต่เราจะช่วยเหลือคนอื่นได้ก็ควรเป็นสิ่งที่เราไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก

ลักษณะของ ลูกใจดี

ก่อนอื่นเราต้องแยกแยะก่อนค่ะว่า ลักษณะของเด็กที่มีจิตใจดีนั้น เขาจะมีลักษณะอย่างไร

  • มีน้ำใจ ชอบแบ่งปันเพื่อน ๆ ในสิ่งที่ตัวเองมี
  • มีเมตตา
  • นึกถึงใจเขาใจเราเสมอ
  • มีนิสัยที่ชอบทำให้เพื่อนและคนรอบข้างมีความสุข

หากวันใดที่ลูกกลับจากโรงเรียนแล้วเขามีเรื่องมาเล่าเกี่ยวกับการแบ่งปัน เล่าในสิ่งที่เขาได้แบ่งให้เพื่อนไปด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม นั่นแสดงว่าเขาภูมิใจในสิ่งที่เขาได้ทำไป

ลักษณะของ ลูกใจดี แบบเต็มใจ

  • ลูกมีสีหน้าไม่ค่อยดี กลับมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่โรงเรียนให้ฟังด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ เช่น การที่ต้องแบ่งของให้เพื่อนหมด ไม่เหลือให้ตัวเอง
  • ในเรื่องราวที่ลูกเล่าให้ฟังนั้น จะมีอารมณ์และแง่คิดในทางลบในเรื่องของการแบ่งปัน
  • ลูกถูกบังคับให้แบ่งปันสิ่งของที่ตัวเองรัก
  • ลูกถูกบังคับให้แบ่งสิ่งของที่ไม่ได้เป็นของของตัวเอง

ลูกใจดีเกินไป อาจหมายความว่าลูก…

ขาดทักษะในการปฏิเสธ

เช่น จริง ๆ แล้วอยากเก็สิ่งนั้น ๆ เอาไว้ให้ตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะบอกเพื่อน หรือปฏิเสธเพื่อนด้วยเหตุผลอะไร ไม่รู้จะบอกอย่างไร

ขาดทักษะในการแก้ปัญหา

ตัวอย่างเช่น มีขนมเหลืออยู่ชิ้นสุดท้าย แต่ยังเหลือเพื่อนอีก 1 คนที่ยังไม่ได้กิน และเพื่อนก็อยากกิน ลูกจึงจำใจต้องให้เพื่อน ทั้งที่จริงแล้ว ขนมนั้นสามารถแบ่งครึ่งได้

ขาดทักษะในเรื่องการรักษาสิทธิ

เช่น ถ้าเพื่อนมาเล่นที่บ้าน แล้วเพื่อนดันไปชอบตุ๊กตาตัวโปรดของลูก เพื่อจะขอเล่นแต่ลูกไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ก็เลยต้องให้ไป ซึ่งจริง ๆ แล้วลูกมีสิทธิที่จะไม่ให้ก็ได้ค่ะ เพราะตุ๊กตาตัวนั้นเป็นของรักของหวงของลูก

ขาดความมั่นในตัวเอง กลัวเพื่อนไม่รัก

เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มักมีความคิดแบบนี้กันเยอะ กลัวว่าถ้าไม่ให้แล้วเพื่อนไม่รัก หรือกลัวจะโดนแกล้ง ส่วนหนึ่งเกิดจากความที่ลูกไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าทำอะไรที่ขัดต่อความคิดหรือความต้องการของผู้อื่น

สอนให้ลูกรู้จักการปฏิเสธ

การสอนหรือการที่จะปลูกฝังให้ลูกรู้จักการปฏิเสธที่ถูกต้องนั้น มีหลายวิธีและเริ่มสอนลูกได้ ดังนี้

สอนลูกให้แยกแยะ

การสอนลูกให้แยกแยะควรเลือกสอนในเรื่องต่าง ๆ ตามวัยที่เหมาะสม เช่น หากลูกอายุได้สักประมาณ 3 – 4 ขวบ อาจสอนลูกให้รู้ว่า ลูกอม ขนมที่หวานมาก ๆ หรือเครื่องดื่มน้ำอัดลม นั้นไม่ดีต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพฟัน เพราะจะทำให้ฟันผุ แต่เอาเรื่องนี้ไปสอนลูกวัย 2 ขวบก็อาจจะยังไม่เข้าใจเท่าที่ควร

บางเรื่องที่ลูกอยากลอง ลองเพื่อรู้ ลองแล้วไม่ได้เกิดความเสียหายอะไร ก็ควรให้ลูกลองค่ะ แต่บางอย่างถ้าลองแล้วจะส่งผลกระทบทันที เช่น ยาเสพติด เพราะหากลองแล้วอาจติดได้ แม้เพียงครั้งเดียว แบบนี้ให้คุณแม่อธิบายเหตุให้ลูกฟังถึงโทษของยาเสพติด พร้อมหาข้อมูลหรือตัวอย่างของเรื่องราวเกี่ยวกับยาเสพติดมาให้ลูกฟังประกอบกัน

เสริมสร้างจิตใจให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเอง

เมื่อเด็ก ๆ ได้อยู่ในกลุ่มเพื่อนก็มักจะไม่ค่อยยอมทำในสิ่งที่แปลกแยกกับเพื่อน โดยเฉพาะเด็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเองก็มักจะโอนอ่อนไปตามเพื่อน โอนอ่อนไปตามแรงผลักดันของเพื่อน ดังนั้น เรื่องของความมั่นใจคุณพ่อคุณแม่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ๆ ค่ะ

เชื่อมั่นในการทำความดี

คุณพ่อคุณแม่ควรตอกย้ำในเรื่องการทำความดีกับลูกบ่อย ๆ ค่ะ พร้อมกับต้องเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกด้วย เพราะเมื่อลูกรู้แล้วว่า “ความดี” คือสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องอาย ไม่ควรอายหากเราทำความดี ลูก ๆ ก็จะยึดมั่นในการทำความดี กล้าที่จะปฏิเสธต่อสิ่งที่ไม่ดีหากใครมาชักชวน

แนวทางการปฏิเสธให้ได้ผล

ให้คุณพ่อคุณแม่จำลองเหตุการณ์มาพูดคุยกับลูก โดยมีแนวทางในการสอนลูกให้ปฏิเสธได้ดังนี้

  • ใช้เหตุผลมาพิจารณาร่วมกับความรู้สึก เพราะบางครั้งหากใช้แค่เหตุผลอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
  • ปฏิเสธตามตรง พร้อมอธิบายเป็นคำพูดที่ชัดเจน
  • ขอความเห็นชอบจากคนที่ชักชวนเรา เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจและขอบคุณที่ชักชวนเราที่ยอมรับในการปฏิเสธนั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่แม่โน้ตเคยเจอก็คือ บางคนมีความเกรงใจคนอื่นมาก ซึ่งมากเสียจนไม่กล้าปฏิเสธเช่นกัน ความเกรงใจเป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่ก็ควรใช้อย่างมีขีดจำกัด เพราะไม่อย่างนั้นก็เท่ากับขาดทักษะในการปฏิเสธเช่นกัน รักลูก ต้องสอนให้รู้จักการปฏิเสธด้วยนะคะ

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP