เป็นที่รู้กันดีว่า “นมแม่” มีประโยชน์มากที่สุดต่อทารก ทำให้ทารกเติบโตได้อย่างแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย ไม่ป่วยบ่อย แม้แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟยังออกมาแนะนำว่าทารกควรได้ดื่มน้ำนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน
นมแม่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุสำคัญหลายตัว มีสารที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิด เช่น แอติบอดีและโปรตีนต่างๆ ที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน สารต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน ฯลฯ วันนี้เราไปดูกันในแต่ละส่วนเลย ที่ว่านมแม่มีประโยชน์นั้น มีอะไรบ้าง
สารบัญ
ระยะของน้ำนมแม่
น้ำนมแม่แบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ซึ่งในแต่ละระยะ ลูกน้อยจะได้รับสารอาหารที่แตกต่างกันออกไป
ระยะน้ำนมเหลือง หรือ โคลอสตรุ้ม(Colostrum)
เป็นน้ำนมที่อยู่ในระยะ 1-3 วันแรกหลังคลอดเท่านั้นและอุดมไปด้วยสารอาหารที่จะช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมากมาย เช่น Secretory IgA แลคโตเฟอริน เซลล์เม็ดเลือดขาว โปรตีนต่างๆ น้ำนมระยะนี้จะเน้นเรื่องการสร้างความแข็งแรงมากกว่าการเจริญเติบโต
ระยะน้ำนมปรับเปลี่ยน (Transitional Milk)
คือ ระยะการเปลี่ยนจากหัวน้ำนมแม่เป็น “น้ำนมแม่” สารอาหารในระยะนี้จะเริ่มเน้นเรื่องการเจริญเติบโตมากกว่าระยะแรก จะหลั่งในช่วง 5 วัน ไปจนถึง 2 สัปดาห์ หลังคลอด
ระยะน้ำนมแม่ (Mature Milk)
ระยะนี้น้ำนมแม่จะมีสีขาว มีไขมันมากขึ้น สารอาหารที่ได้จะเน้นเรื่องการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันกับระยะที่ 2
สารอาหารในน้ำนมแม่
เพื่อให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างสบายใจและมั่นใจได้ว่านมแม่มีประโยชน์จริงๆ เรามาดูกันเลยค่ะ ว่าสารอาหารในนมแม่นั้นมีอะไรบ้างและช่วยพัฒนาลูกทางด้านไหนบ้าง
โปรตีน
ปกติแล้วโปรตีนในน้ำนมแม่จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เวย์โปรตีน 60%และเคซีนโปรตีน 40%ซึ่งตัวเคซีนนี้เป็นตัวสำคัญทีจะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายลูกสามารถย่อยได้ง่ายและเร็วขึ้น กลับกัน…ถ้ามีโปรตีนชนิดนี้มากไปในน้ำนมเทียมจะกลายเป็นว่าทำให้ทารกย่อยยากขึ้นแทนแต่โปรตีนทั้ง 2 อย่างนี้เป็นตัวที่ช่วยป้องกันในเรื่องการติดเชื้อได้อย่างดี
นอกจากนี้ยังมีโปรตีนอื่นๆ อีก อาทิ
- แลคโตเฟอริน (Lactoferrin)ตัวนี้เมื่อจับกับธาตุเหล็กจะช่วยในเรื่องการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ทำลายแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ในทางเดินอาหาร โดยจะผลิตขึ้นประมาณ 7 ครั้ง
- อัลฟาแลคตาบูมิน(Alfa-Lactalbulmin) มีความสำคัญต่อการสร้างสารสื่อประสาทในสมองของทารกและสร้างภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกาย
- Secretory IgAช่วยปกป้องเยื่อบุต่างๆ ไม่ให้เชื้อแทรกผ่านเข้าไปได้ เช่น เยื่อบุผนังลำไส้และเยื่อบุทางเดินหายใจ เป็นต้น
- ไลโซไซม์ (Lyzozyme)เป็นตัวช่วยย่อยโปรตีนจากธรรมชาติและทำลายผนังเซลของ(แบคทีเรีย)
- ไบฟิดัสแฟคเตอร์ (Bifidus factor)เป็นโปรไบติกส์ที่ช่วยในการเพิ่มแลคโตบาซิลัสไบฟิดัส หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของแลคโตบาซิลัส ซึ่งจะทำให้แบคทีเรีย ไม่สามารถอาศัยอยู่ในลำไส้ได้
ไขมัน
ในน้ำนมแม่ประกอบไปด้วยไขมันหลายชนิด อาทิ ไตรกลีเซอไรด์ฟอสโฟไลปิดส์โคเลสเตอรอล ไดกลีเซอไรด์ โมโนกลีเซอไรด์
นอกจากนี้ ยังมีกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายทารกต้องการ เพื่อช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็น ได้แก่ DHA (docosahexaenoic acid) และ AA (Arachidonic acid)
คาร์โบไฮเดรต หรือ น้ำตาลแลคโตส (Lactose)
แลคโตสจะเป็นตัวช่วยให้แบคทีเรียมีความเข็งแรง เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม พบมากในน้ำนมแม่ระยะที่ 3 หรือระยะน้ำนมแม่นั่นเอง ซึ่งระยะนี้ในน้ำนมแม่จะมีปริมาณโปรตีนและไขมันน้อยกว่าปริมาณน้ำตาลแลคโตส ทั้งนี้ ขึ้นอยูกับอาหารที่คุณแม่ทานด้วยนะคะ
วิตามิน
วิตามินที่สำคัญต่อร่างกายของทารกได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซีวิตามินดีวิตามินอีและวิตามินเค
แร่ธาตุ และส่วนประกอบอื่นๆ
แร่ธาตุที่ว่าได้แก่ เหล็ก แคลเซียม และไอโอดีน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สารอาหารของนมแม่…เยอะไหมคะ?เยอะโนะเพราะฉะนั้น โน้ตว่าถ้าคุณแม่บ้านไหนสามารถให้นมลูกได้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ แนะนำว่าทำไปเลยค่ะ นอกจากลูกจะได้ร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกได้ดีจริงๆ นะคะ ว่าแล้วโน้ตยังอยากจะกลับไปให้เข้าเต้าอีกเลย…ตอนนี้แค่ถามว่ากินนมไหม? ก็วิ่งหนีแล้ว 555
อ้างอิง
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
Americanpregnancy.com