“เด็กดี” ใคร ๆ ก็รักเด็กดี คุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้ลูกเป็นเด็กดี ทุกครอบครัวจึงพยายามสอนลูก สอนแล้วสอนอีก แต่เคยสงสัยกันไหมค่ะว่าต่อให้เราพูดจนปากเปียกปากแฉะแค่ไหน ทำไมลูกไม่ทำตามซักที หรือลูกดื้อ? เพราะคำถามนี้เองค่ะโน้ตจึงอยากจะมาแชร์ให้คุณพ่อคุณแม่ได้ฟังกันค่ะว่า
“บางครั้งการให้ หรือการจะสอนอะไรลูกนั้น ควรพิจารณาซักนิดก่อนว่า ในวัยนั้น ๆ ของลูก เขาเข้าใจหรือรับคำสอนของคุณพ่อคุณแม่มากหรือน้อยแค่ไหน”
สารบัญ
พัฒนาการด้านสังคมของลูกในแต่ละช่วงวัย
ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะปลูกฝังเรื่องอะไรให้ลูก โน้ตอยากชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจในเรื่องพัฒนาการของลูกกันซักนิดค่ะ เพราะผลดีก็คือ ลูกสามารถรับคำสอนได้อย่างเข้าใจ และที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้มีต้องนั่งปากเปียกปากแฉะ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า (ไม่เหนื่อยด้วยค่ะ^^)
พัฒนาการ วัยแรกเกิด – 1 ปี
เด็กในวัยนี้จะเริ่มจำชื่อตัวเองได้ ถ้าใครเรียกจะหันไปแล้วยิ้มให้ได้ เลียนแบบพฤติกรรมของผู้อื่น ติดแม่ กลัวคนแปลกหน้า สนใจการกระทำของผู้อื่น ชอบเล่น และชอบมีส่วนร่วม เด็กในวัยนี้ยังอยู่กับตัวเองเป็นหลัก
พัฒนาการ วัย 2 ปี
เริ่มนั่งเล่นกับผู้อื่นได้ แต่ยังต่างคนต่างเล่นอยู่ ยังยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หวงของเล่น ไม่ยอมแบ่งของเล่นให้ใคร
พัฒนาการ วัย 3 ปี
สำหรับเด็กในวัยนี้ การเล่นร่วมกับผู้อื่นนั้นยังขึ้นอยู่กับอารมณ์ ยังชอบเล่นแบบคู่ขนานอยู่ ในบางครั้งจะชอบออกคำสั่ง เริ่มรู้จักการรอคอยมากขึ้น เริ่มเข้าใจและปฏิบัติตามกฎ กติกาง่ายๆ ได้ รู้จักทำงานที่ได้รับมอบหมาย เริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งไหนเป็นของตนเอง สิ่งไหนเป็นของผู้อื่น
พัฒนาการ วัย 4 ปี
เริ่มเล่นร่วมกับผู้อื่นได้มากขึ้น แต่มักจะเป็นเพศเดียวกันมากกว่า ถ้าโกรธกัน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย กลับมาเล่นกันใหม่ได้ รู้จักการให้อภัย รู้จักการขอโทษ มีความรับชอบมากขึ้น รู้จักช่วยงานบ้านง่าย ๆ ได้ รู้จักเก็บของเล่นเอง มีมารยาทในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
พัฒนาการ วัย 5 ปี
เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น เล่นกับเพศตรงข้ามได้มากขึ้น เคารพกติกาในการเล่นมากขึ้น รู้จักการไหว้ผู้ใหญ่ เริ่มมองเห็นและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
เรื่องที่ควรสอนลูก หากต้องการให้ลูกเป็นเด็กดี
มาถึงตรงนี้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการพื้นฐานของลูกกันแล้ว เรามาดูกันต่อดีกว่าค่ะว่า เรื่องอะไรบ้างที่คุณพ่อคุณแม่ควรวางพื้นฐานให้ลูก ถ้าต้องการให้ลูกเป็นเด็กดี
มารยาทขั้นพื้นฐาน
มารยาทพื้นฐานนับเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังตั้งแต่เล็ก ๆ ค่ะ มีเรื่องอะไรบ้าง? เช่น
- “การไหว้” เมื่อพบปะกับผู้ใหญ่ เด็กควรยกมือไหว้ทำความเคารพ
- “การขอโทษ” เมื่อลูกรู้ตัวว่าทำผิด ก็ควรขอโทษ หรือแม้แต่ในเรื่องของ
- “ความเกรงใจ หรือการเคารพสิทธิของผู้อื่น” หรือจะยกตัวอย่างให้เข้าใจกันง่าย ๆ เช่น การไปทานอาหารนอกบ้าน เด็ก ๆ ไม่ควรพูดส่งเสียงดัง หรือสร้างความรำคาญใจต่อผู้อื่น เป็นต้น
กาลเทศะ
เช่น การไม่เล่นหัวผู้ใหญ่คนอื่น (คือเด็กบางคนเล่นกับคุณพ่อคุณแม่ได้ เพราะคุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่าลูกเล่นด้วย) การไม่พูดแทรกขณะที่คนอื่นพูด เป็นต้น ข้อนี้อาจจะยากหน่อยแต่อย่างน้อย ลูกก็จะเริ่มคุ้นเคย เข้าใจ และจะเริ่มปฏิบัติได้ง่ายขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นค่ะ
สอนให้มองมุมมองของคนอื่น
คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะมองมุมมองของคนอื่นบ้าง เพราะก่อนที่คนอื่นจะกระทำอะไรซักอย่างนั้น จะต้องผ่านกระบวนการทางความคิดก่อน แม้ว่าคน ๆ นั้นอาจทำไม่ถูกต้อง อย่างน้อยถ้าลูกเราเข้าใจว่าคนนั้นทำไปด้วยเหตุผลอะไร เราก็จะเข้าใจคน ๆ นั้นมากขึ้น เหล่านี้เองจะทำให้ลูกเป็นคนที่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น
การแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น
“การแบ่งปัน” เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันแสดงถึงการมีน้ำใจต่อกัน แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องให้ลูกแบ่งปันในทุกสิ่ง โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นของรักของหวงนะคะ
คนทุกคนย่อมมีสิ่งของที่ตัวเองรัก ไม่อยากแบ่งปันกับใคร ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่บังคับให้ลูกต้องแบ่งในทุกเรื่อง โดยเฉพาะสิ่งอันเป็นที่รัก สิ่งที่ได้คือ “ลูกจะเกลียดการแบ่งปัน เพราะการแบ่งปันเป็นการพรากสิ่งอันเป็นที่รักของเขาไป” เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรเคารพในการตัดสินใจของลูกด้วยนะคะ
มาในเรื่องของ “การช่วยเหลือผู้อื่น” ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน แต่คงไม่ดีแน่หากผู้อื่นอาศัยความมีน้ำใจของลูกในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่ลูกไม่อยากทำ เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมสอนลูกเกี่ยวกับการกล้าปฏิเสธในสิ่งที่ลูกไม่อยากทำ และเป็นสิ่งที่ผิดด้วยนะคะ
สำนึกที่ดี
เริ่มจาก “การมีต้นแบบที่ดี” ก่อนค่ะ นั่นก็คือคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง การมี “สำนึกที่ดี” เช่น การทิ้งขยะให้ลงถังขยะ และถูกประเภท รวมถึงเรื่องของการเข้าคิว เป็นต้น การเป็นต้นแบบที่ดี จะช่วยให้ลูกเข้าใจและซึมซับคำสอนได้มากกว่าการพูดอย่างเดียว
การจะปลูกฝังให้ลูกเป็นเด็กดีในเรื่องใดซักเรื่องต้องอาศัยระยะเวลา แต่…สิ่งที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เหนื่อยน้อยหน่อยก็คือ “Right Time” การสอนให้ถูกกับจังหวะเวลา ซึ่งก็คือ พัฒนาการลูกนั่นเอง