ลูกน้อยเมื่อโตพอที่คุณพ่อคุณแม่จะพาโชว์ตัวนอกบ้านพาไปเปลี่ยนบรรยากาศได้แล้วก็คงอยากไปใจจะขาด แต่คงต้องนั่งทำการบ้านกันพักนึงว่าจะพาเจ้าตัวน้อยออกนอกบ้านมีข้าวของเครื่องใช้อะไรบ้างที่ต้องเตรียมกัน ส่วนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นที่ต้องการของทุกบ้านคือ เป้อุ้มเด็ก และรถเข็นเด็ก เพื่อเป็นการช่วยทุ่นแรงคุณพ่อคุณแม่ที่ไม้ต้องอุ้มด้วยมือกันตลอดเวลา แต่ละอย่างมีข้อดีหรือข้อควรระวังอย่างราบ้าง วันนี้ผู้เขียนมีแนวทางในการเลือกซื้อทั้งสองอย่างมาฝากค่ะ
สารบัญ
เป้อุ้มเด็ก มีกี่แบบ?
เป้อุ้มเด็กหลายคนคงเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่รู้จัก เป้อุ้มเด็กก็จะมีสายเอาไว้พาดบ่าทั้งสองข้าง มีที่นั่งรองรับตัวเด็ก ซึ่งช่วงลำตัวจะมีผ้าผืนใหญ่คล้ายส่วนของตัวกระเป๋าเอาไว้ให้เด็กพิงได้ เด็กจะสามารถหันหน้าเข้าหาคุณพ่อคุณแม่หรือจะหันหน้าออกก็ได้ ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น โดยทั่วไปแล้วเป้อุ้มเด็กแบ่งได้หลัก ๆ เป็น 2 แบบ ดังนี้
- แบบให้ลูกหันหน้าเข้าหาคุณพ่อคุณแม่
- แบบให้ลูกหันหน้าออก
แต่จะเลือกแบบไหนไปดูหัวข้อถัดไปเลยค่ะ
เป้อุ้มเด็กเหมาะกับเด็กอายุกี่ขวบ
เป้อุ้มเด็กแบบที่หันหน้าเข้าหาคุณพ่อคุณแม่
เหมาะกับเด็กอายุ : อายุ 1-3 เดือน
เนื่องจากเด็กในวัยนี้ ยังเป็นช่วงที่คอและหลังของลูกยังไม่แข็งแรงดี ซึ่งระยะหลังเป้อุ้มเด็กส่วนใหญ่จะทำออกมาให้มีความสูงมากพอที่จะรองรับหัวเด็กและช่วยประคองได้
เป้อุ้มเด็กที่หันหน้าออกจากคุณพ่อคุณแม่
เหมาะกับเด็กอายุ : อายุ 4 เดือนขึ้นไป
คอและหลังของลูกเริ่มแข็งแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถอุ้มเค้าในแบบที่หันหน้าออกได้ ที่สำคัญถูกใจเจ้าตัวเล็กแน่นอน เพราะเค้าจะได้เห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังด้วยนะคะ บางทีเจ้าตัวเล็กอาจไปคว้าสิ่งของที่เค้าวางโชว์ไว้ หรือด้วยความดีใจเกิน ขาอาจไปเตะสิ่งของเข้าค่ะ
เป้อุ้มเด็ก เลือกซื้ออย่างไร?
ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่ามีเป้อุ้มเด็กมีผลิตออกมาหลายยี่ห้อมาก ๆ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งหลักดี ๆ นะคะ ไม่เดินงงในดงเป้นะ ซึ่งการที่จะไม่งง ไม่เบลอนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งหลักของตัวเองก่อน ดังนี้
เลือกจากความกระชับ
จะรู้ได้ต้องลองค่ะ ถ้าใส่แล้วจะดีมากหากคุณแม่รู้สึกกระชับ ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ง่าย ไม่มีส่วนโค้งเว้าไหนที่กดทับทำให้เจ็บ ระยะของสายคล้องควรต้องกระชับพอดีกับช่วงไหล่ ในส่วนของสะโพกต้องมีความกว้างและความหนาที่จะกระชับไปกับเอวและสะโพกของคุณแม่
เลือกจากความทนทาน
อายุการใช้งานในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคุณภาพของสินค้านะคะ แต่หมายถึงอายุของเจ้าตัวเล็กกับการใช้งานของเป้อุ้มเด็กและรถเข็น ส่วนมากจะใช้กับเด็กที่มีน้ำหนักสูงสุดไม่เกิน 18-20 กิโลกรัม
แต่ส่วนมากเด็กที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป (น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 7.5-11.5 กิโลกรัม) เป้อุ้มเด็กก็จะไม่ได้ใช้แล้ว แต่รถเข็นเด็กยังสามารถใช้ได้ต่อแม้เจ้าตัวเล็กจีอายุมากกว่า 1 ปีแล้วก็ตาม
เลือกจากความสบายขณะสวม
เพราะคุณแม่ต้องการทำอย่างอื่นไปด้วยและดูแลลูกไปด้วยดังนั้น ความสบายต้องตามมาค่ะ สบายทั้งคุณแม่และลูกน้อย หากคุณแม่ตั้งใจจะใช้เป้อุ้มเด็กในระยะยาว ควรหาอันที่มีซัพพอร์ทด้วยจะดีมากค่ะ
เลือกจากความง่ายในการใช้งาน
บางยี่ห้อมีสายเยอะแยะเต็มไปหมด ต้องคาดครั้งละ 3 – 4 จุดกว่าจะเอาลูกใส่เป้ได้ ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยตอบโจทย์เท่าไหร่ เพราะถ้าคุณแม่ต้องอยู่กับลูกน้อยแค่ 2 คน คงเป็นอะไรที่ทุลักทุเลพอดู ดังนั้น ควรเลือกแบบที่ปรับสายแล้วคราวต่อไปสามารถสวมได้เลยจะดีที่สุด
เลือกจากสภาพอากาศ
ไม่ใช่ว่าวันไหนฝนตกห้ามซื้อเป้นะคะ ไม่ใช่นะ คือต้องบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อนถึงร้อนมาก ดังนั้น เนื้อผ้าหรือวัสดุที่นำมาตัดเย็บควรเป็นอะไรที่ไม่อับและไม่ร้อน ระบายความร้อนได้ดี
เลือกจากงบประมาณ
ข้อนี้สำคัญ หลายครอบครัวตอนที่อยู่บ้าน ปักธงแล้วว่าอยากได้รุ่นนี้ ๆ แต่พอเข้าไปซื้อจริง ๆ เหมือนโดนเซลล์ต้องมนต์อยู่ข้างหู จนลืมเรื่องงบประมาณไปเลย มารู้ตัวอีกทีเหลือเวลาอีกกว่า 20 วัน กว่าเงินเดือนจะออก เพราะฉะนั้นตั้งสตินะคะ ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ เลือก เอาที่เรารับไหว
เลือกจากการทำความสะอาด
เพราะทารกก็คือทารก บางครั้งอาจมีน้ำลายหกเลอะบ้าง นมหกเลอะ หรือมีเศษอาหารเลอะ เพราะฉะนั้นถ้าเลือกเป้อุ้มเด็กที่ทำความสะอาดง่าย ก็จะย่นระยะเวลาได้และคุณแม่ก็ไม่ต้องเหนื่อยมากอีกด้วยค่ะ
ไปเที่ยวนานแค่ไหน
ระยะเวลาในการพาเจ้าตัวเล็กเที่ยวนั้นมีความสำคัญกับการเลือกว่าจะใช้อะไรระหว่างเป้อุ้มเด็กหรือรถเข็นเด็ก เพราะหากคุณพ่อคุณแม่จะพาลูกเที่ยวซัก 3-4 ชั่วโมง แต่ใช้เป้อุ้มเด็ก แน่นอน…คงไม่เหมาะ เพราะคุณพ่อคุณแม่เองก็จะเริ่มปวดหลัง ลูกเองก็คงเพลียและต้องการจะนอนหลับพักให้สบาย ดังนั้น หากไปนานๆ ควรเลือกให้เหมาะกับเจ้าตัวเล็กนะคะ
สิ่งของของลูกน้อยที่จำเป็นต้องใช้
หากไปเที่ยวแต่มีข้าวของเครื่องใช้ของเจ้าตัวเล็กอยู่มาก เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูป นม เสื้อผ้าสำรอง ผ้าอ้อม ทิชชูเปียก ทิชชูแห้ง ฯลฯ แนะนำควรเป็นรถเข็นจะดีกว่า เพราะคุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่ต้องหิ้วกันพะรุงพะรัง
พาหนะที่จะเลือกใช้ในการเดินทาง
หากคุณพ่อคุณแม่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว การใช้รถเข็นซึ่งต้องบอกว่ามีหลายยี่ห้อและหลายรุ่นที่สามารถปรับให้เป็นคาร์ซีทได้ แบบนี้ยิ่งสะดวกสบายใหญ่
กลับกันหากต้องเดินทางด้วยรถแท็กซี่ การใช้รถเข็นดูจะเป็นภาระอันยิ่งใหญ่ ไม่คล่องตัวเอาซะเลย
แต่หากเป็นการเดิน ซึ่งต้องบอกว่าพื้นของประเทศไทยบ้านเรามีหลายจุดที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ดังนั้น การใช้เป้อุ้มเด็กน่าจะเป็นการดีกว่าการใช้รถเข็น
ข้อควรระวังเกี่ยวกับเป้อุ้มเด็ก
ในช่วงแรกคลอดใหม่ กระดูกและกระดูกข้อต่อในส่วนต่าง ๆ ของทารกยังไม่แข็งแรงดี ซึ่งส่วนบนของกระดูกต้นขา ยังสามารถเคลื่อนไปมาได้หลวม ๆ มีลักษณะคล้ายลูกบอลอยู่ในเบ้าสะโพกที่อ่อนนุ่ม หากสะโพกของทารกต้องถูกบังคับให้ยืดออกเร็วเกินไป อาจทำให้กระดูดสะโพกหลุดออกจากเบ้าได้ ท่าไหนดี ท่าไหนไม่ถูกต้อง ไปติดตามกันค่ะ
ลักษณะของเป้อุ้มเด็กที่ถูกต้อง
เมื่อเอาลูกน้อยนั่งในเป้ (แบบหันหน้าเข้าที่คุณแม่) ช่วงสะโพกและเข้ายืดตรงเนื่องจากถูกบังคับโดยลำตัวของคุณแม่ ซึ่งเป็นท่าที่ผิดธรรมชาติ หากลูกต้องอยู่ในท่านี้นาน ๆ อาจทำให้สะโพกหลุดออกจากเบ้าได้
ลักษณะของเป้อุ้มเด็กที่ไม่ถูกต้อง
ช่วงขาและสะโพกของลูกน้อยเอียงออกด้านข้าง เป็นอิสระตามธรรมชาต โดยที่ต้นขาจะกางออก เพื่อรองรับสะโพก และขา รวมถึงการงอเข้าได้อย่างสบาย
รถเข็นเด็ก จำเป็นไหม?
ต้องยอมรับว่าสมัยก่อนการใช้รถเข็นเด็กเราจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ดูเว่อร์มาก แต่ปัจจุบันนี้…ชินตาซะแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การใช้รถเข็นเด็ก ก็สามารถช่วยทุ่นแรงคุณพ่อคุณแม่ได้มากเหมือนกัน เพราะมักจะมีที่วางของด้านล่าง บางรุ่น บางยี่ห้อ สามารถปรับเป็นตะกร้าหิ้ว หรือ เป็นคาร์ซีท (Car Seat) ได้เลยก็มี ซึ่งจะเลือกซื้ออะไรดีระหว่างเป้อุ้มเด็กหรือรถเข็นเด็ก เรามาดูแนวทางกันก่อนดีกว่าค่ะ
เป้อุ้มเด็กจะเหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องทำงานโน่นนี่ทั้งวัน เพราะเป้จะช่วยให้คุณแม่ได้ 2 แขน 2 มือ กลับมา และที่สำคัญไม่ต้องอุ้มลูกให้เมื่อแขนเมื่อมืออีกด้วยค่ะ ก่อนตัดสินใจซื้อลองหาข้อมูลกันก่อนนะคะ เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยสูงสุดค่ะ