กทม. ชวนคุณแม่จูงลูกรับวัคซีนโรต้า ฟรี!

พัฒนาการเด็กและสุขภาพลูกวัย 1-3 ขวบ
JESSIE MUM

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาที่ลูกป่วยไข้ในแต่ละครั้ง คุณพ่อคุณแม่คงแทบไม่ได้นอน ซึ่งเจ้าหนึ่งวายร้ายที่เด็กเล็กเสี่ยงเป็นมากอีกตัวหนึงก็คือ “โรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า”ซึ่งมักจะพบมากในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี หากมีอาการหนักมากๆ อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตกันเลยทีเดียว

ลูกของแม่โน้ตเองก็เป็นมาแล้วค่ะ แม้ว่า…จะหยอดวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าไปแล้ว แต่ว่าจากที่จะมีอาการหนักหากไม่ได้หยอด ก็กลายเป็นเบาลง ซึ่งวันนี้แม่โน้ตมีข้อมูลดีๆ ที่ทาง กทม. เชิญชวนคุณแม่จูงมือลูกไปรับวัคซีนโรต้า ฟรี! สำหรับพื้นที่ กทม. ส่วนจะมีรายละเอียดอะไรบ้าง เราไปไล่เรียงดูกันค่ะ

ทำความรู้จัก “ไวรัสโรต้า” กัน

ไวรัสโรต้า คืออะไร?

ไวรัสโรต้า” จัดเป็นไวรัสกลุ่มอาร์เอ็นเอ (Double – stranded RNA Virus)ในตระกูล Reoviridaeซึ่งมีถึง 7 สายพันธุ์ (A, B, C, D, F, G)ซึ่งสายพันธุ์หลักที่ก่อให้เกิดโรคในเด็กไทยนั้นร้อยละ 98 มาจากสายพันธุ์ G1, G2, G3, G4 และ G9 โดยเฉพาะสายพันธุ์ G2 เป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากเด็กที่ได้รับเชื้อของสายพันธุ์นี้เข้าไปจะมีอาการไข้สูง อาเจียน ถ่ายเหลวเป็นน้ำมีมูกปน บางรายหากมีอาการรุนแรงอาจอยู่ในภาวะร่างกายขาดน้ำ ถึงขั้นเสียชีวิตได้

เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กเล็กมีอาการท้องร่วง เพราะเด็กๆ มักจะชอบเอามือที่สัมผัสเชื้อโรคไปแล้วเข้าปาก หรือไม่ก็ชอบเอาของเล่นที่มีเชื้อโรคเข้าปาก จึงทำให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

สำหรับไวรัสโรต้านี้ส่วนใหญจะพบในเด็ก มากกว่าผู้ใหญ่ซึ่งมักจะแฝงตัวอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ อาหาร หรือแม้แต่ของเล่น จะว่าไปแล้วเชื้อไวรัสโรต้านี้สามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีการแพร่ระบาดมากหน่อยในฤดูหนาวโดยเฉพาะช่วงเดือนตุลาคม – เดือนกุมภาพันธ์

สถานการณ์โรคท้องร่วงใน กทม. ปี 2561

จากการศึกษาของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เมื่อปี 2561 เกี่ยวกับผู้ป่วยเด็กแรกเกิด–4 ปี จำนวนประมาณ 17,000 คน พบว่า เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วยโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้ามีมากถึงร้อยละ 43 ซึ่งหนึ่งในวิธีป้องกันเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด แต่สำคัญที่สุด อาทิ

  • การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  • การสร้างสุขอนามัยที่ดี
  • การล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ และ
  • การที่ให้ลูกได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรต้า ซึ่งนับเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

วัคซีนโรต้า ทำมาจากอะไร?

วัคซีนตัวนี้ทำมาจากเชื้อไวรัสโรต้าที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์จนไม่ก่อให้เกิดโรค มีความปลอดภัยสูง มีประสิทธิภาพสูงในการใช้เพื่อป้องกันโรค ปัจจุบันมีวัคซีน 2 ชนิดที่ป้องกันไวรัสโรต้าได้ ได้แก่

  1. วัคซีนโรต้าชนิด 5 สายพันธุ์ (Human-Bovine) ที่มีไวรัสโรต้าสายพันธุ์มนุษย์ G1, G2, G3, G4 และ P8
  2. วัคซีนโรต้าชนิด 1 สายพันธุ์ (Human) ที่มีไวรัสโรต้าสายพันธุ์มนุษย์ G1 และ P8 เป็นส่วนประกอบ ซึ่งวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าควรเริ่มให้ในช่วงที่ลูกมีอายุได้ 2 เดือน แต่ไม่เกิน 4 เดือน **คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอก่อนการรับวัคซีนนะคะ

กทม. ชวนคุณแม่จูงลูกมารับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า ฟรี!

ด้วยเหตุที่มีปริมาณผู้ป่วยเด็กจากการได้รับเชื้อไวรัสโรต้ามาก ทาง กทม. ได้เล็งเห็นความสำคัญในการที่จะให้เด็กเล็กได้รับวัคซีนป้องกันกันอย่างทั่วถึง จึงมอบให้สำนักอนามัยดำเนินโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการนำร่อง โดยใช้งบประมาณของทาง กทม. ในการให้บริการหยอดวัคซีนโรต้าแก่เด็กไทยอายุตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป ที่อาศัยอยู่ใน กทม. โดยสามารถไปรับได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 68 แห่ง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร โทร.02-203-2887-9 ในวันและเวลาราชการ

จากประสบการณ์ที่น้องมินเคยเป็นโรคนี้มาแล้ว แต่ก็หยอดยามาแล้วเช่นกัน ทำให้เค้ามีอาการไม่มาก ถ่ายเหลวอยู่ประมาณ 1-2 ครั้ง และฟื้นตัวเร็ว คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกๆ ไปรับวัคซีนนี้ก็จะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดค่ะ อย่างน้อยจากหนักก็จะได้เป็นเบา

อ้างอิง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP