โฮมสคูล(Home School) เป็นยังไงน้า?

การเลี้ยงลูกวัย 3-5 ขวบ
JESSIE MUM

คุณแม่หลายท่านอาจจะกำลังมองหาที่เรียนให้ลูก แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้เรียนที่ไหนอยู่รึป่าวคะ เดี๋ยวนี้มีทางเลือกใหม่ที่ทำให้คุณแม่ไม่ต้องห่างลูกน้อยไปไกล โดยตัวคุณแม่เองก็สามารถเป็นคุณครูและแบบอย่างที่ดีให้กับลูกได้ ปัจจุบันในไทยเราก็มีหลายครอบครัวยอมรับที่จะให้ลูกเรียน โฮมสคูล(Home School) แต่หลายครอบครัวก็ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร วันนี้จะมาอธิบายว่าการเรียนที่บ้านเป็นอย่างไร และมีผลดีผลเสียของการเรียนที่บ้านกันค่ะ เผื่อคุณแม่จะตัดสินใจได้ว่าจะให้ลูกเรียนแบบไหนดี

โฮมสคูล(Home School) คืออะไร?

โฮมสคูล(Home School) ก็คือ การศึกษาโดยครอบครัว ที่มีการจัดการศึกษาโดยพ่อแม่หรือผู้ปกครองได้จัดขึ้นเพื่อลูก ๆ ของเขาเอง โดยมีสิทธิคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งมีรูปแบบการจัดการศึกษาแบบใดแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบ ของการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย อย่างมีการเทียบโอนผลการศึกษาได้

ขั้นตอนการทำ โฮมสคูล(Home School) ในประเทศไทย

ครอบครัวมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ พรบ.การศึกษา และกฎกระทรวงฯ ให้สามารถจัดการศึกษาได้ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ อนุบาล ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น (ระดับอุดมศึกษา/มหาวิทยาลัย ยังไม่อนุญาตนะคะ)

รายละเอียด ดังนี้

  1. ระดับปฐมวัย (อนุบาล) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเขตพื้นที่การศึกษาว่าจะอนุญาตให้ครอบครัวจดทะเบียนเพื่อจัดการศึกษาบ้านเรียนหรือไม่ (ข้อมูล ณ ขณะนี้ 20 ต.ค. 55 บางเขตพื้นที่การศึกษาก็ไม่อนุญาตโดยอ้างว่าไม่จำเป็นต้องจด ให้พ่อแม่สอนลูกไปเองก่อน ค่อยมายื่นขอจดทะเบียนตอนระดับประถมศึกษา
  2. ระดับประถมศึกษา ครอบครัวสามารถยื่นขออนุญาตจดทะเบียน และจัดการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาตามภูมิลำเนา
  3. ระดับมัธยมศึกษา ไม่ได้ขึ้นกับเขตพื้นที่การประถมศึกษานะคะ ซึ่งครอบครัวจะต้องยื่นขออนุญาตจดทะเบียนจัดการศึกษากับหน่วยงาน ดังนี้
    • สำนักงานเขตพื้นที่การมัธยมศึกษา
    • ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ กศน. (การศึกษานอกระบบ)
    • ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ การจัดการศึกษาทางไกล

ผลดีของ โฮมสคูล(Home School)

  1. คุณพ่อคุณแม่ได้อยู่ใกล้ชิดลูกตลอดเวลา สานสัมพันธ์ครอบครัวได้แน่นแฟ้น อบอุ่น และดูแลปกป้องลูกได้ดีกว่าการส่งลูกไปโรงเรียน
  2. คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกจัดการการเรียนการสอนได้ตามสไตล์ที่เหมาะสมกับลูก แถมสอนได้ง่าย ได้ไวกว่าการไปโรงเรียน เพราะเรียนอยู่บ้านจะเป็นการสอนแบบตัวต่อตัว
  3. ลูกจะไม่รู้สึกว่าถูกเปรียบเทียบผลการเรียนกับใคร เพราะเรียนอยู่บ้านไม่ต้องกดดันแบบอยู่ในชั้นเรียน
  4. ลูกจะมีอิสระในการเรียนรู้มากขึ้น เพราะเด็กวัยกำลังช่างพูดมักจะช่างถาม อยากรู้อยากเห็น การส่งลูกไปโรงเรียน บางครั้งคุณครูอาจเหนื่อยกับการต้องคอยตอบคำถามลูกเราคนเดียว
  5. ลูกจะไม่ถูกบังคับจากกฎระเบียบบางอย่างที่ไม่มีเหตุผล
  6. ไม่ต้องห่วงว่าลูกจะมีปัญหากับเพื่อนหรือโดนรุ่นพี่รังแก
  7. คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปเรียนรู้นอกสถานที่ได้บ่อยกว่าการไปโรงเรียน
  8. ลูกจะสามารถแสดงพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวเขาให้เห็นได้ง่ายขึ้น คุณพ่อคุณแม่จึงมีหน้าที่ช่วยลูกค้นหาให้เจอ
  9. ปลอดภัยจากโรคระบาดในเด็ก เพราะไม่ต้องห่วงว่าจะติดเชื้อจากการไปอยู่ร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียน
  10. คุณพ่อคุณแม่มีความสบายใจที่ไม่ต้องให้ลูกไปเป็นภาระแก่คุณครูที่โรงเรียน
  11. ไม่ต้องเปลืองค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน ค่าบำรุงโรงเรียน ค่าเข้าร่วมกิจกรรมในโรงเรียน

ผลเสียของ โฮมสคูล(Home School)

  1. ไม่เหมาะกับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่สามารถมีเวลาให้ลูกได้เต็มที่
  2. ลูกจะเจอสังคมภายนอกกับเด็กวัยเดียวกันได้น้อยลง แต่สามารถแก้ได้ โดยการพาลูกไปเยี่ยมหาเด็กวัยเดียวกันเพื่อให้มีเวลาได้เล่นด้วยกัน พูดคุยกันบ้าง
  3. ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่มีระเบียบวินัยและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกไม่ได้ การเรียนแบบนี้อาจไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นบ้านที่เลือกจะเรียนแบบนี้ต้องมีความอดทนและระเบียบวินัยสูงพอสมควร
  4. บางบ้านที่มีปัญหาทางการเงิน และคุณพ่อคุณแม่มีวุฒิภาวะทางจิตไม่ดี อาจควบคุมอารมณ์ที่จะสอนลูกแบบใจเย็นไม่ได้ ถ้าเด็กดื้อ เถียง อาจเกิดปัญหาตามมาได้

เรียนแบบโฮมสคูล (Home School) จะดีไหม ลูกจะรู้สึกแปลกแยกหรือเปล่า? ติดตามข้อดี ข้อเสียของการเรียนแบบโฮมสคูล เพื่อประกอบการตัดสินใจได้จากบทความนี้เลยค่ะ คลิกที่นี่

ในบ้านเรามีการตั้งศูนย์ประสานงานครอบครัวบ้านเรียนขึ้น ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เพื่อสร้างมาตรฐานการจัดการศึกษาโดยครอบครัวในสังคมไทยไห้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งโฮมสคูลถือเป็นทางเลือกหนึ่ง และมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดแตกต่างอะไรกับการเรียนในโรงเรียน เราเคยมีแล้วแต่ถูกลืมไป เพราะใช้ระบบโรงเรียนมากว่าหนึ่งร้อยปี หลังจากนั้นพอเห็นความล้มเหลว หรือความยุ่งยาก จากปัญหาบางอย่างที่มันก่อตัวจากระบบโรงเรียน ทำให้ระบบนี้ฟื้นคืนขึ้นมาอีก

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP