เวลาที่คนเรามีอารมณ์โมโห หรือโกรธ เราจะมองคนอื่นออกว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ยกเว้นว่าคน ๆ นั้นจะเก็บอาการได้เก่งจริง ๆ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา กับลูกของเราล่ะ เริ่มจากลูกก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าลูกโกรธ ลูกก็จะงอแง หงุดหงิด เราเองมองออกถูกไหมคะ แต่อย่าลืมนะคะว่าตัวเราที่เป็นแม่ก็ต้องรู้เท่าทันตัวเองเช่นกัน
ในเมื่อเราดูลูกออกแล้วว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิด โมโหอยู่ เราสามารถสอนเขาได้ตั้งแต่เล็ก ๆ นะคะ สอนให้เขารู้จักอารมณ์ตัวเอง และรับมือกับอารมณ์ตัวเองได้ ซึ่งแน่นอนค่ะ คุณแม่ต้องเริ่มทำก่อน ทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง
สารบัญ
7 แนวทางสอนลูกให้รู้จักและรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง
ลูกเริ่มรู้สึกโกรธ
เมื่อคุณแม่เริ่มสังเกตได้ว่าลูกเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด หรือโกรธ ขั้นตอนนี้ให้คุณแม่เริ่มบอกลูกได้เลยค่ะ ว่าเขารู้สึกอย่างไร เช่น ลูกจะแกะล้อรถของเล่นออกจากตัวรถ แต่ด้วยความที่มันแข็งมาก ด้วยแรงเด็กอาจทำให้ไม่แรงพอที่จะดึงออก เมื่อลูกดึงไม่ออก ก็โมโห หน้าแดง ทันทีที่แม่เห็นแบบนี้ ให้อธิบายกับลูกได้เลยค่ะ ว่า “แม่เข้าใจนะว่าหนูโกรธที่ดึงล้อออกไม่ได้”
ขณะที่ลูกรู้สึกหงุดหงิด โกรธ หรือร้องไห้
อันดับแรกเลย ประโยคที่คุณแม่ควรเลี่ยงเลยคือ “ไม่เอา ไม่ร้อง” “ไม่โกรธสิลูก” หรือ “หยุดร้องเดี๋ยวนี้เลยนะ” เป็นต้น เพราะอะไร? ก็เพราะว่าความรู้สึกโกรธได้เกิดขึ้นไปแล้ว ลูกหงุดหงิดแล้ว และก็ร้องไห้ไปแล้วด้วย ยิ่งถ้าคุณแม่ไปเบรกอารมณ์ลูกสิ่งที่คุณแม่จะได้รับกลับมาแทนคือ
- ลูกไม่หยุดร้อง และยิ่งร้องมากขึ้น
- ถ้าลูกเงียบได้แต่ลูกจะยังคงเก็บอารมณ์โมโหหรือหงุดหงิดไว้กับตัว สะสมไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่เป็นดีกับลูกในอนาคตแน่นอน
แต่…สิ่งที่คุณแม่ควรทำคือ ปล่อยให้ลูกร้องไห้ ให้เขาได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกมา และให้เขา ได้อยู่กับตัวเองซักพัก แล้วจะดีขึ้นเอง
ถ้าลูกไม่สามารถคุมอารมณ์ได้
ให้คุณแม่พาลูกออกมาจากสถานการณ์หรือบรรยากาศตรงนั้นก่อน เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ เปลี่ยนจุดโฟกัสของเขาโดยไม่ให้เขาเห็นภาพ ณ จุดที่ทำให้เขามีอารมณ์โมโหก่อน
หาสิ่งที่จะทำให้อารมณ์ลูกเย็นลง
หลังจากที่พาลูกออกมาเปลี่ยนจุดโฟกัสแล้ว ให้หากิจกรรม หรือทำอย่างอื่นแทน เพื่อเป็นการทำให้อารมณ์ของลูกเย็นลง เช่น ชวนลูกเล่นตบมือ นับเลข ดื่มน้ำเย็น ๆ หรือเดินเล่น เป็นต้น
อารมณ์ลูกเย็นลง
ดูโอกาสและจังหวะที่จะเข้าไปถามลูก เพื่อให้ลูกได้เล่าว่าเขาคิดและรู้สึกอย่างไร หากลูกยังไม่ต้องการเล่าให้ฟัง ณ ขณะนั้น ก็อย่างเพิ่งไปบังคับเขานะคะ รอจนกว่าเขาจะพร้อม เมื่อนั้นเค้าจะเล่าเอง
ลองขอความเห็นจากลูก
“Two Way Communication” หรือ การสื่อสารสองทาง เรียกได้ว่าเป็นการสื่อสารระหว่างคุณแม่กับลูก ไม่ใช่ให้ลูกฟังคุณแม่อย่างเดียว ไม่อย่างนั้นคุณแม่จะไม่สามารถเข้าถึงลูกได้เลยว่าลูกรู้สึกหรือคิดอย่างไรกับวิธีการเลี้ยงของคุณแม่
กลับกัน การให้ลูกได้มีโอกาสออกความคิดเห็นว่ามีวิธีไหนอีกบ้างที่จะทำให้เขารับมือกับอารมณ์ของตัวเอง หรือจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น ก็น่าจะเป็นวิธีที่ดีและเหมาะสมกับตัวลูกมากที่สุด อย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นมุมมองของลูกได้อีกด้วยค่ะ
แม่ต้องรับมือกับอารมณ์ของตัวเองให้ได้ก่อน
ข้อนี้สำคัญมากเลย เพราะหากลูกเห็นว่าเราไม่สามารถรับมือ และจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ ก็จะกลายเป็นว่าคุณแม่หงุดหงิดบ๊อยบ่อย ลูกก็จะเรียนรู้ และเข้าใจว่าคุณแม่ก็ไม่เห็นจัดการหรือควบคุมอารมณ์ของตัวเองเลย ฉะนั้นลูกก็ไม่เห็นจะต้องจัดการหรือควบคุมอารมณ์ตัวเองเช่นกัน เพราะควบคุมไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
จากที่กล่าวมาข้างต้นเรื่องของการรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ และตามมาด้วยการจัดการอารมณ์นั้นให้ได้ ยิ่งถ้าเราฝึกลูกได้ตั้งแต่เล็ก เขาจะเคยชินกับการรับมือ และจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เมื่อทำบ่อย ๆ เข้า การจัดการกับอารมณ์ของลูกก็จะไวขึ้นและเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ