การเลี้ยงลูกในเชิงบวกคืออะไร? ทำอย่างไร?

การเลี้ยงลูกวัย 3-5 ขวบ
JESSIE MUM

เมื่อพูดถึงการ “มองโลกในแง่บวก” ทุกคนอาจร้อง “อ๋อ” เพราะนึกออกและเข้าใจดี แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง “การเลี้ยงลูกเชิงบวก” ล่ะ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะอ๋อ แต่ในขณะที่อีกหลายคนอาจจะ “เอ๊ะ…มันคืออะไร ต้องเลี้ยงอย่างไร แล้วผลลัพธ์ที่ได้นั้นดีอย่างไร?” ไปค่ะ ไปติดตามกัน

การเลี้ยงลูกเชิงบวกคืออะไร?

เนื่องจากว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่เติบโตมากับวัฒนธรรมเชิงอำนาจและวัฒนธรรมเชิงลบมาอย่างยาวนาน พ่อแม่มีอำนาจเหนือลูก บางครอบครัวเรียกได้ว่าเป็นเจ้าชีวิตกันเลยทีเดียว ครูมีอำนาจเหนือศิษย์ มักชอบใช้วิธีที่ขู่บังคับ ทำให้กลัวต่าง ๆ นานา หรือไม่ก็ลงโทษตีให้หลาบจำ ซึ่งจะแตกต่างจากการเลี้ยงลูกในเชิงบวก

การเลี้ยงลูกในเชิงบวก จะเป็นวิธีการเลี้ยงที่ให้เข้าใจการทำงานของสมองทางวิทยาศาสตร์ เน้นการเลี้ยงดูด้วยความรัก ความเข้าใจ มีระเบียบวินัยเป็นเครื่องมือ รวมถึงไม่ใช้ความรุนแรงทั้งทางคำพูดและการกระทำ ซึ่งหลักการสำคัญของการเลี้ยงลูกเชิงบวกคือ “ใช้วิธีการสอน และลงมือทำ เพื่อให้เด็กได้เห็นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และใชเทคนิคต่าง ๆ กระตุ้นให้สมองส่วนหน้าเกิดการทำงาน และการคิดวิเคราะห์ได้ดีขึ้น” หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือ วิธีนี้จะเป็นวิธีที่ไม่สร้างบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับเด็ก แต่จะเปลี่ยนเป็นการให้กำลังใจ ชื่นชม ให้เด็กได้เรียนรู้ผลลัพธ์ตามธรรมชาติ พร้อมกับมีการฝึกวินัยเป็นประจำนั่นเองค่ะ

เทคนิคการเลี้ยงลูกเชิงบวก

กระตุ้นให้สมองส่วนคิดวิเคราะห์ทำงานได้ดีขึ้น

สมองของมนุษย์เรามี 3 ส่วน คือ สมองส่วนบน (หรือสมองส่วนคิด) สมองส่วนกลาง (หรือสมองส่วนอารมณ์) และสมองส่วนล่าง (หรือสมองส่วนสัญชาตญาณ)

ปกติแล้วสมองส่วนสัญชาตญาณจะมีการพัฒนาได้ดีอยู่แล้วตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทำงานร่วมกับสมองส่วนอารมณ์ เรียกว่าเมื่อไหร่ก็ตามมนุษย์เรารู้สึกไม่ปลอดภัยหรือเครียด สมองส่วนสัญชาตญาณจะตอบสนองทันที โดยการตอบสนองจะมีอยู่ 3 แบบด้วยกัน

  • สู้ : เมื่อเด็กโตขึ้นจะกลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าวและมักใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา
  • หนี : เมื่อเด็กโตขึ้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่กังวลง่ายและมักจะซึมเศร้า
  • ยอม : สุดท้ายเด็กจะไม่นับถือตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีศักยภาพ (Low Self – Esteem)

ในขณะที่สมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนของการคิดวิเคราะห์เป็นส่วนที่พัฒนาได้ช้าที่สุด โดยจะพัฒนาได้เต็มที่เมื่ออายุ 25 ปี ด้วยเหตุนี้เอง เวลาที่เด็กถูกขัดใจก็จะร้องโวยวาย ไม่ฟังเหตุผลใด ๆ นั่นเป็นเพราะการตอบสนองจากสมองส่วนสัญชาตญาณ และเป็นข้อจำกัดที่เด็กมี …การเลี้ยงลูกเชิงบวกคือ การสอนลูกเพื่อการสงบอารมณ์ เป็นการฝึกให้ลูกได้ใช้สมองส่วนคิดวิเคราะห์ทำงานให้มากขึ้นค่ะ

ช่วยให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตนเอง เข้าใจ และจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้

เช่น ลูกกำลังหัดช่วยเหลือตัวเองด้วยการแต่งตัว หนูพยายามที่จะติดกระดุมเสื้อเอง แต่เจ้ากรรมก็ยังติดไม่ได้ซักที ถ้าคุณแม่เริ่มสังเกตเห็นว่าลูกเริ่มจะมีอารมณ์โมโห ให้รีบพูกับลูกในเชิงบวกแบบนี้ก่อนค่ะ

“แม่เข้าใจว่าหนูหงุดหงิดที่ยังติดกระดุมไม่ได้ ลองหายใจลึก ๆ แล้วค่อยมาลองอีกทีดีไหมคะ” หรือไม่คุณแม่ก็นั่งสาธิตวิธีติดกระดุมกับลูกไปด้วย “เราลองหันเม็ดกระดุมให้เป็นแนวเดียวกันกับรังดุมก่อนไหมคะ แบบนี้ เผื่อจะเข้าได้ง่ายขึ้น”

แต่ที่สำคัญ คือ คุณแม่ไม่ควรใช้คำพูดในเชิงลบกับลูก เช่น

“บอกแล้วไง ให้ติดให้ไหมก็ไม่เอา แล้วเป็นไงล่ะ ทำไม่ได้ แถมช้าอีก อย่ามาร้องไห้นะ หยุดเลยนะ”

แบบนี้จะทำให้เด็กรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่าน เพราะสมองส่วนอารมณ์ถูกกระตุ้นแต่ก็ห้ามแสดงออกอีก เด็กอาจเก็บกดได้

คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่พูดเชิงลบ

อย่างที่กล่าวไว้ในช่วงแรกค่ะว่า สังคมไทยเติบโตมากับวัฒนธรรมในเชิงลบมาอย่างยาวนาน จนซึมซับอยู่ในสัญชาตญาณไปแล้ว หลายครั้งคนที่พูดก็พูดอะไรออกไปโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนรับสาร เช่น ลูกเล่นของเล่นแล้วไม่เก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย คุณแม่ก็จะพูดว่า “เล่นของเล่นแล้วก็เก็บเข้าที่ด้วยสิ” แต่ถ้าการเลี้ยงลูกในเชิงบวกจะพูดแบบนี้ค่ะ “ของเล่นล่ะคะลูก” เพียงเท่านี้เด็กก็จะเข้าใจได้แล้วค่ะว่าให้เก็บเข้าที่

ปลูกฝังตั้งแต่ยิ่งเล็ก ยิ่งดี

คุณแม่สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ลูกอายุ 2 – 3 ปี ขึ้นไปค่ะ เพราะช่วงอายุขนาดนี้ เด็กกำลังเรียนรู้และจดจำสิ่งที่ต่าง ๆ ได้ดี เพราะตามหลักการของพัฒนาการแล้วเด็กในวัย 2 – 3 ปี เค้าจะเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง อยากทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ส่วนอายุ 4 – 5 ปี เป็นช่วงที่ความจำพัฒนาได้ดีมาก คุณแม่ไม่ต้องแปลกใจนะคะ หากว่าลูกอายุ 5 ขวบของคุณแม่จะร้องเพลงได้ถูกต้องทั้งเพลง

การเลี้ยงลูกในเชิงบวกต้องอาศัยหลาย ๆ อย่างร่วมกัน โดยเฉพาะการเป็นต้นแบบที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ เพราะลูกจะเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมและความคิดของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP