ทำอย่างไรเมื่อคุณแม่ต้องเผชิญกับกลิ่นหลังคลอด

การคลอดและหลังคลอด
JESSIE MUM

คุณแม่เมื่อคลอดลูกแล้วความสะอาดน่าจะเป็นเรื่องต้นๆ ที่คุณแม่ให้ความใส่ใจกับลูกและสิ่งรอบตัวลูก แต่ตัวคุณแม่เองบางครั้งกลับต้องมาเผชิญกับปัญหากลิ่นไม่พึ่งประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้นและช่องคลอดก่อให้เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาได้ และกังวลว่าตัวเองดูแลจุดซ่อนเร้นและช่องคลอดได้ไม่สะอาดพอหรือไม่

แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาเรื่องของกลิ่นจุดซ่อนเร้นหลังคลอดนั้นเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ทั้งในเรื่องของการเป็นภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย มีความผิดปกติของสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด เป็นต้น ซึ่งวันนี้คุณแม่ลองมาเช็คกันดีกว่าว่าสาเหตุของกลิ่นที่คุณแม่กำลังกังวลนั้นสามารถเกิดจากสาเหตุใดได้บ้างและจะแก้ไขอย่างไรดีเพื่อรีบเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด

อะไรทำให้คุณแม่ต้องเจอกับปัญหานี้ได้บ้าง

  1. ตั้งแต่ช่วงก่อนท้องจนเดินทางมาถึงการคลอดนั้นคุณแม่ต้องเจอกับภาวะเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของฮอร์โมนมากมายและในครั้งนี้ก็เช่นกันซึ่งในบางครั้งมันก็อาจเป็นตัวการส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียต่างๆ เจริญเติบโตขึ้นมาได้ และนี่แหละคือสาเหตุของการเกิดกลิ่น
  2. กลิ่นน้ำคาวปลา หลังจากที่คลอดแล้วประมาณ 3-4 สัปดาห์น้ำคาวปลาจะเริ่มค่อยๆ หายไป แต่ถ้าในช่วงที่คุณแม่กำลังมีน้ำคาวปลาอยู่นั้นสังเกตได้ว่ามันมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาผิดปกติ ก็ขอให้รีบไปพบแพทย์เพราะถ้าจะให้สันนิษฐานเบื้องต้นอาจจะเกิดการติดเชื้อได้นั่นเอง
  3. กลิ่นมาจากอาหารที่ทาน ในส่วนนี้จะรวมทั้งกลิ่นตัว กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่จุดซ่อนเร้นและช่องคลอดด้วย อาหารที่สามารถทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ส่วนใหญ่มักจะเกิดมาจาก พวกยาจีน ยาต้ม สารพัดสมุนไพรที่อาจจะมีกลิ่นแรงแต่คุณแม่ก็ต้องทานเพื่อช่วยกระตุ้นน้ำนมหรือช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น
    ซึ่งยาต่างๆ เหล่านี้แหละคือตัวการที่ทำให้ร่างกายของคุณแม่เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นมาได้
  4. เหงื่อ ก็ยังเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์บนร่างกายอยู่เช่นเคยและยิ่งกับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดด้วยแล้วล่ะก็ในหนึ่งวันก็คงต้องวิ่งวุ่นทำนู้นนี่ทั้งเพื่อลูกและตัวเองกันทั้งวันจึงไม่แปลกที่จะมีเหงื่อกันบ้าง ซึ่งแบคทีเรียสะสมเหล่านี้ก็คืออีกสาเหตุของการเกิดกลิ่นนั่นเอง

แล้วจะแก้ไขกันต่ออย่างไรดีกับกลิ่นเจ้าปัญหา

  1. อย่าสวนช่องคลอด แน่นอนว่าเมื่อคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองมีกลิ่นที่ไหนก็มักจะอยากทำความสะอาดในจุดนั้นเป็นพิเศษแต่คงจะไม่เหมาะแน่ถ้าจะใช้น้ำสวนช่องคลอดเพราะมันสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ก็จริงแต่ว่าเชื้อแบคทีเรียที่ถูกทำลายไปนั้นกลับเป็นตัวการสำคัญในการดูแลความสมดุลของช่องคลอดซึ่งเมื่อขาดมันไปแล้วก็ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นได้นั่นเอง
  2. น้ำเปล่าหรือสบู่อ่อนๆ ก็เพียงพอ ไม่จำเป็นที่จะต้องหาสบู่เข้มข้นเพื่อที่จะมาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นเพราะนอกจากจะเป็นการทำให้แบคทีเรียที่จำเป็นถูกทำลายยังอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการระคายเคืองที่จุดซ่อนเร้นที่แสนบอบบางได้อีกด้วย
  3. โฟกัสที่ชุดชั้นในและกางเกงใน ควรเลือกชุดชั้นในและกางเกงในที่มีการระบายอากาศได้ดีพร้อมทั้งซักให้สะอาดและตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทก็ตะสามารถช่วยลดกลิ่นอับไปได้มากเลยทีเดียว
  4. พยายามทำความสะอาดหรืออาบน้ำบ่อยๆ คำว่าบ่อยๆ ในที่นี้ก็ต่อเมื่อคุณแม่ต้องเจอกับเหงื่อทั้งวันก็อาจจะแนะนำให้อาบน้ำมากกว่าปกติ แต่ถ้าคุณแม่ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของเหงื่อแล้วล่ะก็แค่อาบตอนเช้าและก่อนนอนก็ถือว่าเพียงพอแล้วเพราะถ้าอาบบ่อยเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งได้นั่นเอง
  5. หันมาดูแลตัวเองเป็นพิเศษในช่วงที่เกิดน้ำคาวปลา ทั้งในเรื่องของการทำความสะอาดและหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัย เพื่อช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นนั่นเอง
  6. โปรไบโอติกส์ช่วยคุณแม่ได้ ซึ่งคุณแม่สามารถหาโปรไบโอติกส์ได้ในพวกนมเปรี้ยว โยเกิร์ต เพื่อนำมาช่วยเสริมแบคทีเรียที่มีประโยชน์กับร่างกายที่อาจถูกทำลายไปนั่นเอง

สุดท้ายแล้วคุณแม่ที่ต้องเจอกับปัญหาของกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้ก็บอกได้เลยว่าไม่ต้องเครียดและเป็นกังวลจนมากเกินไป คุณแม่สามารถที่จะเข้าไปพบและปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไขได้หากได้ลองทำตามวิธีที่แนะนำแล้วยังมีความรู้สึกว่ายังไม่ดีขึ้นมากเท่าไรนัก และเชื่อได้เลยว่าหากดูแลตัวเองอย่างดีแล้วกลิ่นเหล่านี้ก็จะค่อยๆ หายไปจากคุณแม่ได้อย่างแน่นอน

Featured post

โพสต์ที่อยากให้คุณแม่อ่าน

  1. 346 ชื่อจีนความหมายดี ๆ มีให้ลูกสาวและลูกชาย

  2. วิธีสต๊อก นมแม่ และการจัดเรียงให้ประหยัดเนื้อที่ในตู้เย็น

  3. 10 อาหารว่างคนท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  4. หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร? นับยังไง ไม่ท้องจริงหรือ

  5. 12 กลุ่มดาวจักรราศี มีอะไรบ้าง พร้อมเลขมงคลปี 2564

  6. 10 นิทานอีสป กับ 10 หนังสือนิทาน 2 ภาษา ปลูกฝังเรื่องราวดี ๆ สอนใจเด็ก ๆ

  7. ความฉลาด 11 ด้าน หรือ 11Q (11 Quotients) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

  8. 14 นิทานพื้นบ้านของไทย สอนใจเด็กได้ดี

หมวดหมู่โพสต์

บทความล่าสุด

  1. เช็คลิสต์ “ของเตรียมคลอด” “ของใช้เด็ก” “ของใช้หลังคลอด” เพื่อใช้หลังคลอดที่จำเป็น

  2. 8 อาหารที่แม่ให้นมห้ามทาน

  3. แนะวิธีเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่อย่างถูกวิธี

  4. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  5. White Noise เสียงคลื่นความถี่ที่กล่อมลูกให้หลับฝันดี เพิ่มสมาธิได้อีกด้วย

รีวิวผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก

  1. รีวิว นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก 10 ยี่ห้อ เปรียบเทียบกันตัวต่อตัว ยี่ห้อไหนดี พร้อมแนะวิธีการเลือกนมกล่องให้ลูก

  2. เปรียบเทียบนมผงสูตร 1 ในท้องตลาด สารอาหารที่น่าสนใจ

  3. 4 แปรงสีฟันเด็กยุคใหม่ แบรนด์ไหนใช้ดี เทียบแบรนด์ต่อแบรนด์

  4. รีวิวเปรียบเทียบชัดๆ ล้างจมูกให้ลูกด้วย Hashi Plus VS ไซริงค์

  5. รีวิว แชมพูสบู่เหลว Head to toe 5 แบรนด์ เทียบกันแบรนด์ต่อแบรนด์

  6. รีวิว นมผง สำหรับลูกน้อย 11 ยี่ห้อ ละเอียดยิบ ปี 2566 พร้อมหลักการเลือกซื้อนมผงให้ลูกน้อย

  7. 12 คาร์ซีท ยี่ห้อไหนดี 2023 ปลอดภัย คุ้มค่า คุ้มราคา

  8. 10 แป้งเด็ก ยี่ห้อไหนดี 2023 ปกป้อง อ่อนโยนต่อผิวลูก

  9. 10 เครื่องปั๊มนม ยี่ห้อไหนดี ปี 2023 ใช้งานง่าย ปั๊มเกลี้ยงเต้า

  10. 10 เบบี้โลชั่น ยี่ห้อไหนใช้ดี 2023 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวลูกได้ดั่งใจแม่

ท่องเที่ยวกับครอบครัว

  1. 5 ที่เที่ยวปีใหม่ใกล้กรุงเทพ 2566 อิน ไม่มีเอ้าท์

  2. 5 พิกัดเช็คอิน ที่เที่ยวโคราช เมืองย่าโม

  3. 6 ที่เที่ยวเชียงใหม่ สำหรับครอบครัว ลูกแฮปปี้ พ่อแม่ดี๊ด๊า

  4. 5 พิกัด พาลูกเที่ยวญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์การเรียนรู้

  5. 8 ที่เที่ยวครอบครัว หน้าหนาว ที่ไม่ควรพลาด

  6. 6 สถานที่พาลูกเที่ยว เรียนรู้ธรรมชาติ เสริมสร้างพัฒนาการ

TOP