ช่วงเวลาที่เราไม่สบาย “ยา” คือทางออกที่หลาย ๆ คน นึกถึง คงไม่เป็นไรหากเราไม่ใช่คุณแม่ที่กำลังท้อง แต่ทันทีที่กลายเป็นคุณแม่ การจะกินยาอะไรต้องใส่ใจและระมัดระวังมากเป็นพิเศษค่ะ “ยาที่คนท้องห้ามกิน แม่ท้องควรรู้ถ้าไม่อยากเสี่ยงแท้ง” เป็นสิ่งจำเป็นที่คุณแม่ควรรู้ ในขณะที่ยาคนท้องกินได้มีอะไรบ้าง ไปติดตามกันเลยค่ะ
สารบัญ
อายุครรภ์กับอันตรายจากยา
หลังจากที่เซลล์ผ่านกระบวนการการปฏิสนธิแล้ว เซลล์ดังกล่าวก็จะเดินทางไปฝังตัวที่ผนังมดลูก จากนั้นก็จะเจริญเติบโตเป็นทารกต่อไป ด้วยอายุครรภ์ คุณแม่จะต้องอุ้มท้องไป 9 เดือนถึงจะมีกำหนดคลอด ซึ่งในระยะเวลา 9 เดือนนี้ ยาที่คุณแม่กินเข้าไปอาจไปส่งผลกระทบและอันตรายได้ตามอายุครรภ์ ดังนี้
วันที่เริ่มปฏิสนธิ – 20 วันของทารก (ประมาณ 3 สัปดาห์แรก)
ในระยะนี้ถ้าคุณแม่ได้รับยาหรือสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อทารกเข้าไป ก็จะส่งผลให้เกิดการแท้งหรือทารกอาจเสียชีวิตได้
อายุครรภ์ระหว่างสัปดาห์ที่ 3 – 8
ในระยะถัดมานี้ เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์เริ่มมีการแบ่งตัว แยกออกมาเป็นอวัยวะที่เริ่มเห็นได้ชัดเจน หากแม่ท้องได้รับยาหรือสารเคมีอันตรายเข้าไป จะส่งผลต่ออวัยวะทุกส่วนของทารก ทำให้เกิดความผิดปกติ อาการไม่ครบ 32
อายุครรภ์เดือนที่ 4 – 9
ช่วงนี้ทารกในครรภ์จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว อวัยวะต่าง ๆ แบ่งแยกและมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดขึ้น ยาหรือสารเคมีที่คุณแม่รับเข้าจะส่งผลต่อความสมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ
ยาที่คนท้องกินได้มีอะไรบ้าง
อาการปวดหัว
หากคุณแม่มีอาการปวดหัว หรือมีไข้ สามารถทานยา
- พาราเซตามอล (Paracetamol) หรือ
- ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ได้ค่ะ
ถือเป็นยาที่ปลอดภัยสำหรับแม่ท้อง โดยใช้ตามปริมาณที่กำหนด
ผู้ใหญ่ : ทานขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม สามารถกินซ้ำได้ทุก ๆ 8 ชั่วโมง ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น
ข้อควรระวัง กินยา
ไม่ควรกินยาในขนาด 1,000 มิลลิกรัมต่อครั้ง ซ้ำ ๆ กันทุก 4 – 6 ชั่วโมง เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ เพราะจะส่งผลเสียต่อตับของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ค่ะ
อาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหล
หากคุณแม่มีอาการคัดจมูก จาม หรือน้ำมูกไหล กลุ่มยาที่ใช้ได้คือ
- กลุ่มยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ซึ่งที่ปลอดภัย ได้แก่ คลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) หรือยาแก้แพ้เม็ดสีเหลืองที่เรารู้จักกันดี
- ขนาดยาที่ใช้ : เม็ดละ 4 กรัม ครั้งละ 1 เม็ด
ยานี้อาจทำให้คุณแม่ง่วง เพราะฉะนั้นกินก่อนนอนจะดีที่สุดค่ะ
ยาแก้คัดจมูก ลดน้ำมูก ที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยก็คงมีเพียง “ คลอเฟนนิรามีน ” ครับ ยาตัวอื่นที่เคยใช้ทานในกรณีที่มีอาการภูมิแพ้ทั้งหลายแหล่ เช่น Zyrtec คงต้องงดไว้ก่อน
ข้อมูลอ้างอิง vichaiyut.com
ข้อควรระวัง กินยา
ไม่ควรใช้ยาคลอเฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะส่งผลให้เกล็ดเลือดต่ำ ทารกที่เกิดมาอาจมีอาการเลือดไหลออกมากผิดปกติได้
อาการไอ
สำหรับคุณแม่ที่มีอาการไอแห้ง ๆ ยาที่สามารถใช้ได้คือ
- เด็กซ์โตรเมทอร์โทรฟาน (Dextromethorphan) แต่ต้องสังเกตด้วยนะคะว่ามีสารเคมีอื่นผสมด้วยหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยค่ะ
การรักษาโดยไม่ต้องพึ่งยา
สามารถทำได้ดังนี้ค่ะ
ดื่มน้ำเปล่าสะอาด
การดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้มาก ๆ นอกจากจะช่วยลดอาการเจ็บคอได้แล้ว ยังช่วยลดอาการระคายเคืองในลำคอได้อีกด้วยนะคะ
การดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดในปริมาณมาก จะช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ซึ่งจะทำให้คุณแม่ไม่เจ็บคอนั่นเองค่ะ
หมั่นเช็ดตัว
ให้นำผ้าชุบน้ำบิดหมาด มาเช็ดตามซอกคอ และข้อพับต่าง ๆ หากเป็นส่วนของแขนและขา ให้เช็ดย้อนรูขุมขนขึ้นมานะคะ เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขนระบายความร้อนออกมาค่ะ อุณหภูมิก็จะลดลงได้
พักผ่อนให้มาก ๆ
การพักผ่อนของแม่ท้องเป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ เพราะจะช่วยละความเสี่ยงในการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี
เพราะคุณแม่ท้องอะไรก็ตามที่จะรับเข้าสู่ร่างกาย ควรมั่นใจว่าปลอดภัยต่อทั้งคุณแม่เองและลูกน้อยในครรภ์นะคะ เท่ากับว่าคุณแม่ต้องหมั่นดูแลสุขภาพมากกว่าเดิมเป็น 2 เท่า ทั้งนี้ เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ครบอายุการตั้งครรภ์ 9 เดือน แล้ววันที่ลูกน้อยลืมตามาดูโลก จะเป็นวันที่คุณแม่ชื่นใจมากที่สุดเมื่อพบว่าลูกน้อยเราแข็งแรงค่ะ