เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2561)มีข่าวเกี่ยวกับการระบาดของโรคมือเท้าปากกันมากเลยทีเดียว ทำให้โรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศตื่นตัวกันใหญ่กับเรื่องนี้ สรุปแล้วโรคนี้มีความรุนแรงแค่ไหน? จะรู้ได้อย่างไรว่าได้รับเชื้อนี้แล้ว? มีอาการอย่างไรบ้าง?ต้องนอน รพ. หรือไม่? จะหายภายในกี่วัน? และอีกหลายคำถามตามมา วันนี้เราจะมาแบ่งปันเรื่องนี้กันค่ะ
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบบ่อยในทารกและเด็กเล็กที่อายุต่ำว่า 5 ปีนับเป็นอีกหนึ่งโรคที่สร้างความกังวลใจให้คุณพ่อและคุณแม่อยู่ไม่น้อยทีเดียวเพราะก่อนหน้านี้พบว่ามีเด็กบางรายเสียชีวิตจากโรคนี้ด้วย แต่ในบางรายเป็นไม่มาก สามารถหายได้เอง
ทำไมบางรายถึงเสียชีวิต บางรายก็หายได้เอง?
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้นค่ะ
สาเหตุของโรค
โรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ซึ่งมีเป็นร้อยๆ สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่พบบ่อยคือ
- คอกซากีไวรัส (coxsackievirus A16)ตัวนี้เป็นไวรัสที่ไม่ดุ ผู้ป่วยสามารถมารับการรักษาและหายได้เองภายใน 4-5 วัน
- เอนเทอโรไวรัส71 (enterovirus 71)ตัวนี้เป็นตัวร้ายแรง เพราะสามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
รับเชื้อได้ทางใดบ้าง?
- สัมผัสโดยตรงจากสารคัดหลั่งจากจมูก น้ำลาย น้ำจากตุ่มใสๆ รวมถึงอุจจาระของผู้ป่วย
- สัมผัสทางอ้อมผ่านของเล่น ของใช้ อาหาร หรือน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อจากผู้ป่วย
ซึ่งสถานที่ที่พบบ่อยที่สุดคือ โรงเรียนอนุบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก และมักระบาดในช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว
อาการ
อาการเริ่มแรกจะเหมือนไข้หวัด คือ
- มีไข้ต่ำ
- หลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ2-3 วันจะมีผื่นแดงหรือตุ่มใสขึ้นเป็นกลุ่มที่หัวเข่า ศอก ก้น ฝ่ามือ นิ้วมือ หรือฝ่าเท้า เป็นต้น
- ประมาณวันที่ 4 ของการติดเชื้อจะมีแผลร้อนในเกิดขึ้นในปาก โดยจะขึ้นจากจุดใกล้ๆ ทอนซิลแล้วขยายวงออกมาที่ผนังด้านนอก
ซึ่งถ้าลูกน้อยบอกว่า “เผ็ด” หรือ “เจ็บ” ในปากให้คุณพ่อคุณแม่ตรวจในปากลูกเบื้องต้นได้เลยค่ะ เพราะอาจเริ่มมีแผลในปากแล้วหากพบแผลดังกล่าว ควรรีบนำส่งแพทย์เพื่อการรักษาทันทีค่ะ โดยระยะเวลาของโรคนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 5-7 วัน กรณีที่รับเชื้อไม่รุนแรงนะคะ
ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ เช่น เยื้อหุ้มสมองอักเสบ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ การเสียชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนแผลในปากหรือตุ่มใสที่ขึ้นตามร่างกายดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด เพราะถึงแม้แผลในปากหรือตุ่มใสจะหายไปแล้ว แต่หากลูกน้อยมีอาการหรือสัญญาณเตือนดังต่อไปนี้ ควรรีบนำส่งแพทย์ทันทีนะคะ
- ลูกน้อยซึม เบื่ออาหาร ไม่เล่นซนเหมือนเคย
- ปวดศีรษะมาก
- อาเจียน
- ไอ มีเสมหะมาก
- หายใจเร็ว ดูเหนื่อยๆ
การรักษา
โรคนี้ยังไม่มียากรักษาโดยเฉพาะค่ะ เพียงแต่รักษาตามอาการ เช่น ให้ทานยาลดไข้ เมื่อมีไข้ หากผู้ป่วยไม่สามารถทานอาหารได้ จนนอนซึม ก็จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด หรือหากเจ็บแผลในปาก คุณหมอก็จะให้ยาชามาเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บให้ผู้ป่วยได้ทานอาหารได้ เป็นต้นค่ะ
การป้องกัน
ด้วยความที่โรคนี้ยังไม่มียาหรือวัคซีนตัวใดที่รักษาเฉพาะโรค ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิดโดย
- หลีกเลี่ยงหรืออยู่ให้ห่างไกลผู้ป่วย
- ไม่ใช้ภาชนะในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วย เช่น จาน ช้อน ชาม ขวดน้ำ หรือขวดนม
- ล้างมือบ่อยๆ หลังลูกเล่น ก่อนทานอาหาร หรือก่อนจะหยิบจับอาหารหรือสิ่งของต่างๆ ให้ลูกน้อย
- หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีอาการคล้ายโรคมือเท้าปาก ควรรีบพาไปหาแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัย และหากลูกน้อยเป็นโรคมือเท้าปากจริง ควรให้หยุดเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ
หากโรงเรียนพบเด็กที่เป็นโรคมือเท้าปากควรมีการจัดการอย่างเข้มงวด เช่น
- ปิดทั้งโรงเรียนอย่างน้อย 2สัปดาห์ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
- ทำความสะอาดห้องเรียน ของเล่น รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ให้สะอาด
- คัดกรองผู้ป่วยและแยกไว้ต่างหาก เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่นำกลับไปรักษาจนกว่าจะหายดี
- ควรล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เนื่องจากโรคยังไม่มียารักษาโดยตรง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรเอาใจใส่ ดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด คอยสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นเพื่อการรักษาที่ทันท่วงที ป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่คงต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับโรคนี้หากเกิดขึ้นกับลูกน้อย รอจนกว่าลูกจะโตขึ้นและมีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นต่อไป