ทันทีที่รู้ว่ามีลูก โดยเฉพาะลูกคนแรก คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายท่านตั้งปณิธานว่า “จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด” และ “จะเป็นพ่อแม่ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้” แต่…เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราได้เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ดีอย่างที่ตั้งใจแล้วหรือยัง
วันนี้ผู้เขียนมีแนวทางการเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ดีมาฝากค่ะ
สารบัญ
- ทำกิจกรรมร่วมกัน
- ไม่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น
- พาลูกเดินเล่น และพูดคุยกับลูก
- ความผิดลูกที่ผ่านไปแล้วก็ลืมๆ ไปบ้าง
- ใส่ใจในการเลือกอาหารให้ลูก
- ใส่ใจในพฤติกรรมของลูก
- เชื่อมั่นในตัวลูก
- เคารพในการตัดสินใจของลูก
- พร้อมที่จะกอดลูกเสมอ
- อย่าให้ทางเลือกลูกมากเกินไป
- พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ตลอดเวลา
- ไม่ควรตำหนิลูกทุกเรื่อง
- ไม่ควรทำเรื่องภายในครอบครัวให้เป็นเรื่องของสาธารณะ
- ไม่ควรให้คนอื่นมาเป็นมาตรวัดความสำเร็จของครอบครัว
ทำกิจกรรมร่วมกัน
เพราะการสร้างพื้นฐานที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับลูกตั้งแต่เล็กๆ จะทำให้ลูกเติบโตมาเป็นเด็กที่มี EQ (Emotional Quotient)ดี ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาชวนลูกทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกัน เช่น วิ่งเล่น ปลูกต้นไม้ อ่านนิทาน วาดรูป ร้องเพลง หรือหากวันหยุดอาจพาลูกไปศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ ที่ได้ทั้งสนุกและได้ทั้งความรู้อีกด้วยค่ะ
ไม่เปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น
การที่จะสอนให้เด็กคนหนึ่งมีกริยามารยาทดี มีวินัย และรู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบนั้น ต้องใช้เวลา เด็กบางคนสอนง่าย เด็กบางคนสอนยาก แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ค่อยๆ สอนไปทุกวันๆ ทำให้เค้าได้เคยชิน เค้าก็จะซึมซับได้เองจนติดเป็นนิสัยไปจนโต
เพราะฉะนั้น ถ้าทุกอย่างต้องใช้เวลา คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเปรียบเทียบลูกเรากับใคร กลับกันการเปรียบเทียบนี้จะมีแต่ทำให้ลูกเสียใจนะคะ
พาลูกเดินเล่น และพูดคุยกับลูก
ข้อนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ตั้งแต่ลูกยังแบเบาะอุ้มเค้าพาเค้าเดินเล่น สูดอากาศบริสุทธิ์ ก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้ลูกน้อย
ถ้าเป็นเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยสามารถเดินได้เอง ในระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่พาเค้าเดินเล่นให้ชวนลูกพูดคุยไปด้วย ชี้ชวนให้ดูดอกไม้หรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นอกจากจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในครอบครัวแล้ว ยังเป็นการเพิ่มทักษะความรู้รอบตัวให้กับเค้าอีกด้วยนะคะ
ความผิดลูกที่ผ่านไปแล้วก็ลืมๆ ไปบ้าง
คนเราต้องเคยทำผิด ทำพลาดกันมาแล้วทุกคน ขนาดผู้ใหญ่อย่างเราก็เคยทำผิดมาแล้วเช่นกันเพราะฉะนั้นเด็กที่เพิ่งเกิดมาไม่กี่ปีก็ย่อมต้องมีผิดพลาดแน่นอน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรยกเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาพูดอีก หรือเอามาเป็นประเด็นที่คอยจับผิดลูกตลอดไปจนกระทั่งลูกโตนะคะ
ใส่ใจในการเลือกอาหารให้ลูก
“โภชนาการที่ดี” เป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูก เรียกได้ว่าทันทีที่ลูกสามารถทานอาหารเสริมได้ คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจเลือกอาหารให้ลูกน้อยโดยให้ลูกได้ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพราะการที่ลูกได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ จะส่งผลให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางร่างกาย และส่งผลดีต่อสภาพจิตใจอีกด้วยนะคะ
ใส่ใจในพฤติกรรมของลูก
เด็กจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงวัยหากมีเวลาคุณพ่อคุณแม่ควรหาข้อมูลเพื่อรับมือกับลูกน้อยไว้ก็จะดีนะคะ เพราะเชื่อเหลือเกินว่าลูกๆ ต้องทำให้คุณพ่อคุณแม่โมโหได้ทุกวันแน่นอน แต่คุณพ่อคุณแม่ควรตั้งสติ แล้วค่อยๆ หาจังหวะสอนเค้า หรือพูดคุยกับเค้าดี ๆ เค้าก็จะฟังคุณพ่อคุณแม่มากขึ้นค่ะ
เชื่อมั่นในตัวลูก
แม้โน้ตเคยพาลูกไปลองเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ลูกอายุได้ 2 ขวบกว่า ๆ (คุณแม่อยากจะลองดูว่าถ้าลูกเราได้เข้าเรียนและเจอกับคุณครูแล้ว เค้าจะมีการปรับตัวได้มากน้อยแค่ไหน) พอเริ่มเรียนเค้าจะไม่อยู่นิ่ง เค้าเดินเรื่อย ๆ ในห้อง คุณครูต้องเดินตาม (พอดีคลาสนั้นมีลูกเราเรียนคนเดียว) เรียนผ่านไปประมาณ 2-3ครั้ง เค้าสามารถเต้นหรือทำตามเพลงที่คุณครูสอนได้ จากเรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนรู้ว่าเด็ก แม้จะไม่อยู่นิ่ง แต่หูของเค้าฟังตลอดตาเค้าก็ดู แม้จะไม่ได้นิ่งดูตลอดเวลาก็ตามแต่เค้าก็สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดเพราะฉะนั้นอย่าดูถูกความสามารถนะคะ
เคารพในการตัดสินใจของลูก
เด็กในวัย 1-3 ขวบ จะเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง อยากเลือกนู่นเอง เลือกนี่เอง ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างเสื้อผ้า เตียงนอน ผ้าห่ม แปรงสีฟัน ฯลฯ หรือไปจนเรื่องของการสอนให้แบ่งปัน เพราะของบางอย่างก็เป็นของรักของหวงของลูก ลูกย่อมมีสิทธิที่จะไม่แบ่งปันของที่เค้ารักได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรบังคับลูกนะคะ เพราะไม่เช่นนั้น เค้าจะมองว่า “การแบ่งปัน คือ การพลัดพรากสิ่งที่เค้ารักไป” แล้วเค้าจะไม่ชอบการแบ่งปันค่ะ
พร้อมที่จะกอดลูกเสมอ
ถึงแม้ในเวลาที่เค้ามีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก เช่น ร้องกรี๊ด เอาแต่ใจ งอแง ไม่ฟังใคร ฯลฯ ลูก…ก็ยังคงต้องการความรัก ต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่เหมือนเคย เพราะสิ่งนี้จะทำให้เค้ารู้ว่า ไม่ว่าเค้าจะเป็นอย่างไรก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้กำลังใจ และอยู่เคียงข้างเค้าเสมอ
อย่าให้ทางเลือกลูกมากเกินไป
คุณแม่บางคนบอกว่า “อ้าว! ให้ทางเลือกน้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ดี” ถูกค่ะ ให้น้อยไปเช่น 2 ทาง ออกแกมบังคับว่า “ไม่ทางนั้น…ก็ทางนี้” และการให้ทางเลือกลูกมากไปอาจทำให้ลูกสับสน เลือกไม่ได้ซักทีว่าจะไปทางไหนดี ทางที่ดี และพอเหมาะควร กำหนดทางเลือกให้ลูก 2 – 3 ทาง เท่านี้ก็พอค่ะ จะทำให้ลูกไม่รู้สึกว่าถูกบังคับมากไป หรือปล่อยเปิดกว้างมากไป
พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ตลอดเวลา
คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคิดว่า “เราเป็นพ่อแม่คนแล้ว อย่าให้ลูกรับรู้ความรู้สึกหรือแบกรับความรู้สึกอะไรจากเราเลย” แต่ความจริงแล้ว การให้ลูกได้รับรู้อารมณ์และความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่บ้าง ก็ทำให้ลูกได้เรียนรู้นะคะว่าคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และที่สำคัญลูกจะเรียนรู้การแสดงออกทางอารมณ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมจากคุณพ่อคุณแม่ได้ค่ะ
ยกตัวอย่าง “อย่าให้ทางเลือกลูกมากเกินไป” เช่น
“แม่ตกใจแทบแย่ ที่ตอนแรกหาโทรศัพท์มือถือไม่เจอ แล้วแถมจำไม่ได้ด้วยสิว่าวางไว้ที่ไหน แต่พอนึกได้ว่าอยู่บนหัวเตียงก็ค่อยโล่งใจหน่อย”
ไม่แน่นะคะ บางทีคุณพ่อคุณแม่อาจได้เห็นพฤติกรรมที่น่ารัก และประโยคที่ทำให้รู้สึกดีจากลูกก็ได้นะคะ
แม่โน้ตเป็นคนกลัวจิ้งจก แล้วมีอยู่คืนหนึ่งแม่โน้ตต้องเดินไปหยิบนมให้น้องมินที่ห้องครัว แต่ไม่ได้เปิดไฟ ระหว่างทางที่จะเดินไปห้องครัวมีจิ้งจกเดินตัดหน้า แม่โน้ตร้องกรี๊ด น้องมินวิ่งออกมาดู ถามว่าหม่ะม้าเป็นอะไร พอเราเล่าจบ เค้าเดินมาลูบหลังพร้อมพูดว่า “โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรน้าหม่ะม้า” แล้วเค้าก็เดินไปเปิดไฟ จูงมือเราเข้าห้องครัวไปด้วยกัน
ไม่ควรตำหนิลูกทุกเรื่อง
ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่มักจะบอกว่า “ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน” เพราะฉะนั้น เมื่อลูกจะทำหรือทำอะไรลงไป ลำดับต้น ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่จะมองเห็นคือ “ความผิดพลาดหรือความผิดอันเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์” เหล่านี้ จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่ตำหนิลูกมากกว่าชมลูก แต่สิ่งที่ลูกต้องการคือ “การตำหนิเพื่อก่อ”
ในแง่ของการเลี้ยงลูกเชิงบวก คุณพ่อคุณแม่ควร “สื่อสารกับลูกด้วยประโยคเชิงบวกอย่างน้อย 5 ประโยค และประโยคเชิงลบเพียง 1 ประโยค”
ไม่ควรทำเรื่องภายในครอบครัวให้เป็นเรื่องของสาธารณะ
“สาธารณะ” ในที่นี้หมายรวมถึงทั้งสถานที่และบนโลกของโซเชียลมีเดียที่ปัจจุบันนั้นได้รับความนิยมกันอย่างมาก เช่น เวลาไปเดินห้างด้วยกัน ไม่ควรต่อว่าหรือตำหนิลูกด้วยเสียงที่ดัง แต่ควรทำให้ลูกสงบก่อน แล้วคุณพ่อคุณแม่ค่อยพูดคุยกับลูกในพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัว
หรือ…หากมีการทะเลาะกับลูกหรือลูกงอแงมาก คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรนำมาโพสต์ในโซเชียลมีเดีย เพราะอย่าลืมว่าแม้ว่าว่าจะแลดูเป็นพื้นที่ส่วนตัว แต่การโพสต์ลงบนพื้นที่ส่วนนั้นจะกลายเป็นสาธารณะทันที
ไม่ควรให้คนอื่นมาเป็นมาตรวัดความสำเร็จของครอบครัว
ข้อนี้เกิดจากการที่คุณพ่อคุณแม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับครอบครัวอื่น หรืออาจเกิดได้จากที่คนอื่นมาพูดในทำนองอวดตัวว่าพวกเค้าประสบความสำเร็จได้มากกว่าคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ยิ่งจะเป็นการสร้างความกดดันให้ตัวเอง และส่งต่อไปถึงลูกได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว ทีนี้ครอบครัวก็จะไม่มีความสุข
ความสำเร็จของแต่ละครอบครัวนั้นย่อมแตกต่างกันไป บางคนอาจมองที่ตัวเงิน บางคนมองที่ความสุขจากการได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ดังนั้น อะไรคือความสำเร็จของครอบครัว คุณพ่อคุณแม่จะทราบดีที่สุดค่ะ
ได้รู้กันแล้วว่าพ่อแม่ที่ดีควรเป็นเช่นไร คราวนี้เราจะมาดูอีกแง่มุมหนึ่งกันบ้างกับ “พ่อแม่รังแกฉัน รักบริสุทธิ์ที่สร้างความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ให้กับลูก” จะผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน ต้องไปติดตามค่ะ